ซีพียู (CPU : Central Processing Unit) หรือหน่วยประมวลผลกลาง เป็นเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการประมวลผลข้อมูล โดยรับ
ข้อมูลจากผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เมาส์ และคีย์บอร์ด จากนั้นจึงทำการประมวลผล และส่งผลลัพธ์ออกมาทางอุปกรณ์แสดงผล เช่น ทางจอภาพ ลำโพง หรือ
เครื่องพิมพ์ ดังนั้นซีพียูจึงถือเป็นหัวใจหลักของคอมพิวเตอร์ และได้มีการพัฒนาด้านความเร็ว และเทคโนโลยีการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง
ซีพียูในปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นชิปรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดเล็ก โดย
ติดตั้งลงบนช่องที่เรียกว่า Socket บนเมนบอร์ดซึ่งเป็นแผ่นวงจรหลักของ
เครื่อง ซีพียูในปัจจุบัีนมีหลายรุ่น หลายความเร็ว สำหรับรองรับการทำงานใน
ระดับต่าง ๆ กัน
2.1 มาตรวัดประสิทธิภาพซีพียู
สำหรับการพิจารณาเลือกซีพียูนั้น นอกจากดูความเร็วในการทำงานของซีพียูแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่เราต้องพิจารณา ต่อไปนี้เป็นคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เรา
ควรมองหา และให้ความสำคัญในการเลือกซีพียู
ความเร็วซีพียู มีวิธีวัดประสิทธิภาพการทำงานของซีพียูอยู่หลายวิธี แต่ที่จะพบได้บ่อยคือ การวัดความเร็วเป็นหน่วยเมกะเฮิร์ตซ์
(MHz = ล้านรอบในหนึ่งวินาที) ซึ่งเป็นความถี่ของสัญญาณนาฬิกาที่ควบคุมการทำงานของซีพียู เช่น ซีพียูที่สัญญาณ
ความถี่นาฬิกา 3600 MHz หมายความว่าซีพียูทำงานได้ 3600 ล้านรอบในหนึ่งวินาที มาตรฐานที่ใช้ในการวัดความ
เร็วของซีพียูนั้น จะใช้เป็นหน่วยของ Hz คือรอบต่อวินาที สำหรับปัจจุบันเมื่อความเร็วของซีพียูเพิ่มสูงขึ้น จากที่เคยวัด
ความเร็วโดยใช้หน่วย MHz (เมกะเฮิร์ตซ์) หรือล้านรอบต่อวินาที ก็มีการใช้หน่วย GHz (กิกะเฮิร์ตซ์) หรือพันเมกะ-
เฮิร์ตซ์
ความเร็วบัส
หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกาของระบบบัส (Front Side Bus) เป็นความเร็วที่ซีพียูใช้ในการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง
โปรเซสเซอร์ หน่วยความจำ และระบบแสดงผล มีหน่วยเป็น MHz (เมกะเฮิร์ตซ์) ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของซีพียู
ในแต่ละรุ่นเลยทีเดียว โดยซีพียูแต่ละค่ายแต่ละรุ่นที่มีความเร็วเท่ากันนั้น อาจมีความเร็วบัสไม่เท่ากัน เพราะความเร็วที่
แท้จริงนั้นจะอยู่ที่คุณสมบัติตัวนี้ด้วยนั่นเป็นเหตุผลว่าซีพียู Intel Celeron D และ Intel Pentium 4 ที่ความเร็วเท่ากัน
เช่น 2.6 GHz เท่ากัน ทำไมราคาของซีพียู Intel Pentium 4 ถึงได้มีราคาสูงกว่า ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณสมบัติที่ความ
เร็วบัสของซีพียูนั่นเอง
หน่วยความจำแคช แคชเป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความเร็วในการเข้าถึงและถ่ายโอนข้อมูลสูง โดยจะมีหน้าที่ในการเก็บพักข้อมูล
ที่มีการใช้งานบ่อย ๆ เพื่อเวลาที่ซีพยูต้องการใช้ข้อมูลนั้น ๆ จะสามารถค้นหาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องไปค้น
หาจากข้อมูลทั้งหมด ในปัจจุบันซีพียูรุ่นใหม่ได้ถูกพัฒนาให้ใช้งานได้ดีขึ้น โดยมีการเพิ่มหน่วยความจำแคช (Cache
Memory) ไว้ภายในชิปเพื่อช่วยให้ซีพียูสามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ใช้บ่อยผ่านแคชนี้ได้ดีกว่าการไปโหลดข้อมูลนี้มาใหม่
จากหน่วยความจำภายนอกซีพียูผ่านบัส ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการทำงานที่ซ้ำซ้อนลงนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซีพียูที
มีแคชทำงานได้เร็วกว่าซีพียูที่ไม่มีแคช ในขณะที่ใช้ความถี่สัญญาณนาฬิกาเดียวกัน
ทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต : ก้าวในการพัฒนาของซีพียูมักมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เพระาโปรเซสเซอร์ใน
ปัจจุบันเป็นการบรรจุจำนวนทรานซินเตอร์ลงไปบนพื้น่ที่เล็ก ๆ ที่เป็นขนาดของลายวงจร ซึ่งมีขนาดต่าง ๆ กัน เช่น
0.18, 0.13, 0.09 และ 0.065 ไมครอน(1 ไมครอน = 1 ในล้านเมตร) ซึ่งขนาดของลายวงจรเหล่านี้ยิ่งเล็กลงได้เท่าไร
ก็จะสามารถใส่จำนวนของทรานซินเตอร์ลงไปมากขึ้น ซึ่ง่ทำให้สามารถเพิ่มความเร็วของสัญญาณนาฬิกาขึ้นไปได้อีก
ซีพียูแบบหลายแกน :
เป็นเทคโนโลยีในซีพียูที่กลายมาเป็นจุดขายในปัจจุบัน ก็คือการทำงานของซีพียูแบบหลายแกนประมวลผลในชิปซีพี
ยูตัวเดียวซึ่งในปัจจุบันก็คือ Dual Core Technology ทีึ่ทำงานด้วยหน่วยประมวลผล 2 ตัว (เราคงได้เห็นการทำงาน
ที่มากกว่า 2 หน่วยประมวลผลในอนาคต) จากซีพียูรุ่นก่อนที่ทำงานในแบบหน่วยประมวลผลเดียว (Single Core)
เทคโนโลยี Dual Core ทำให้โปรเซสเซอร์สามารถประมวลงานได้พร้อมกันแบบขนาน (ต่างจากเทคโนโลยี Hyper Threading ตรงที่ HT จะประมวลผลโดยใช้หน่วยประมวลผลเดียว จึงไม่ใช่การประมวลผลแบบขนานแท้จริง ในขณะ
ที่เทคโนโลยี Dual Core จะใช้หน่วยประมวลผลสองตัวในการประมวลผลแบบขนานอย่างสมบูรณ์)
การทำงานในระดับ 64 บิต : การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ทั้งในเชิงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ยังคงทำงานที่ระดับ 32 บิต การก้าวเข้า
มาของซอฟต์แวร์ประเภท 64 บิต เช่น Windows XP 64 Bit Edition ซึ่งจะทำให้การประมวลผลที่เกิดขึ้นทำงานแบบ
เร็วเขึ้น (แต่ซอฟต์แวร์ที่ทำงานบน Windows ในปัจจุบัน รวมทั้งตัว Windows เองก็ยังคงทำงานที่ระดับ 32 บิต) ใน
ด้านของฮาร์ดแวร์จึงต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานในระดับนี้ด้วย โดยเฉพาะซีพียูที่สามารถรองรับการประมวลผล
ในระดับ 64 บิตในปัจจุบันได้มีการเปิดตัวซีพียูที่สนับสนุนการทำงานแบบ 64 บิต ที่ชิงเปิดตัวออกมาก่อนก็คือ ซีพียู
จากค่ายเอเอ็มดี ทั้งซีพียูบนเครื่องพีซีเดสก์ท็อป และบนเครื่องโน้ตบุ๊กซึ่งภายหลัง Intel ก็เปิดตัวชิปซีพียูที่รองรับ 64
บิตตามมาด้วย
2.2 รู้จัก Form Factor ของซีพียู
Form Factor เป็นรูปแบบของชิปซีพียูที่จะติดตั้งบนเมนบอร์ดซึ่งในอดีต Form Factor ของซีพียูจะมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าและติดตั้งลงบนสล็อต
ปัจจุบันอาจเรียกได้ว่ามีเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น คือ แบบชิป (Chip) ซึ่งเป็นซีพียูที่มีตัวถังแบน โดยด้านล่างอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ แบบที่มีขาพินยื่น
ออกมา (PGA) สำหรับติดตั้งลงบนซ็อกเก็ตบนเมนบอร์ด และแบบที่เป็นหัวสัมผัส (LGA) สำหรับติดตั้งลงบนซ็อกเก็ตแบบใหม่ที่มีใช้ในบรรดาซีพียูรุ่นใหม่ ๆ ของ
อินเทล โดยซีพียูแต่ละรุ่น แต่ละค่ายจะมีจำนวนของขาพินและขนาดของชิปซีพียูที่แตกต่างกัน โดยจะมีชื่อเรียกซ็อกเก็ตที่ใช้กับซีพียูรุ่นนั้น ๆ โดยเฉพาะ
ในปัจจุบันเราสามารถแบ่งรูปแบบของ Form Factor หรือบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ของซีพียูได้ดังนี้
2.2.1 Form Factor แบบ PGA
PGA (Pin Grid Array) เป็นบรรจุภัณฑ์แบบที่ใช้กันอยู่ในซีพียูรุ่นปัจจุบัน ทั้งในเอเอ็มดี และอินเทล (เฉพาะซีพียูรุ่นเก่า สำหรับซีพียูรุ่นใหม่ ๆ ของอินเทล
หันไปใช้บรรจุภัณฑ์แบบ LGA เกือบทั้งหมด ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป) ซีพียูทีใช้บรรจุภัณฑ์แบบ PGA จะมีลักษณะเป็นชิปที่ด้านบนจะเป็นผิดเรียบและด้าน
ล่างจะมีขาพินยื่นออกมาจำนวนมาก สำหรับติดตั้งลงบนฐานซ็อกเก็ตซีพียูบนเมนบอร์ดอีกที ดังรูป
2.2.2 Form Factor แบบ LGA
LGA (Land Grid Array) เป็นบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาใช้กับซีพียูจากค่ายอินเทลซึ่งซีพียูรุ่นใหม่ของอินเทลจะหันมาใช้บรรจุภัณฑ์แบบนี้ทั้งหมด
ซึ่งมีการเปลี่ยนจากเข็มพิน (PGA) มาเป็นวัสดุนำไฟฟ้าทรงกลมเรียงกันเป็นแผงแทนเข็มพิน หรือหลายคนเรียกว่าซีพียูไม่มีขา การติดตั้งก็คือทำให้หน้าสัมผัสแนบ
กับซ็อกเก็ต ซึ่งจะทำให้ได้พื้นที่ผิวสัมผัสมากขึ้นกว่าแบบเดิม โดยรุ่นที่ออกมาในปัจจุบันยังมีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น คือ LGA775 (หรือมักเรียกกันว่า Socket 775
หรือ Socket T) คือจะมีลูกทรงกลมที่ตัวชิปทั้งหมด 775 ลูก
entium D (2.66-3.60 GHz), Pentium Extreme Edition (3.2-3.73 GHz), Core 2 Duo (1.60-2.67 GHz) และ Core 2 Extreme (2.93 GHz)
2.3 รู้จักซีพียูรุ่นต่าง ๆ จากอินเทล
อินเทล (Intel) ถือได้ว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปซีพียูที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ความโดดเด่น ของซีพียูจากค่ายนี้นอกจากเรื่องของความเร็วแล้ว ก็
คือ เทคโนโลยีการใช้ซีพียูแบบหลายแกน เช่น Dual-Core (ใช้โปรเซสเซอร์ 2 ตัว) และ Quad-Core (ใช้โปรเซสเซอร์ 4 ตัว) ทีมีการเปิดตัวเพื่อนำไปใช้กับ
คอมพิวเตอร์ที่ต้องการการประมวลผลในระดับสูง
อินเทลได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปซีพียูมาอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากเทคโนโลยีหลักที่นำมาใช้ในซีพียูรุ่นใหม่ เช่น เทคโนโลยี Dual-Core หรือ
Quad-Core แล้ว ยังมีเทคโนโลยีเสริมอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้การทำงานในด้านต่าง ๆ มีประสิทธิภาพยิ่งึ้น เช่น Hyper Threading Technology, Enhanced
Intel SpeedStep Technology, Intel Extended Memory 64 Technology เป็นต้น
ชิปซีพียู Intel Core 2 Extreme Quad-core
ได้เพียง 1 เดือน อินเทลก็เปิดตัวชิปซีพียูที่เป็น Quad-Core ตามมาถือเป็นอีก
ก้าวสำคัญของวงการซีพียู ซึ่ง Quad-Core ก็คือชิปซีพียูที่ประกอบไปด้วยแกน
โปรเซสเซอร์ 4 แกนบนชิป (ถือเป็นผู้ผลิตรายแรกที่ใช้สถาปัตยกรรมนี้) ซึ่งจาก
ผลการทดสอบที่อินเทลวัดเมื่อเทียบกับซีพียูรุ่นก่อนหน้านี้ ถือว่าประสิทธิภาพที่
ได้สูงกว่ามากทีเดียว
Intel Core 2 Extreme Quad-Core ถูกออกแบบมาสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพในการประมวลผลระดับสูง ต้องรันแอพ-
พลิเคชั่นมัลติมีเดีย เช่น โมเดล 3 มิติ, การตัดต่อ/เรนเดอร์งานวิดีโอและเสียง หรือคอมพิวเตอร์สำหรับคอเกมเสมือนจริงที่มีการแสดงผลที่เฟรมเรตสูง ๆ
ด้วยโปรเซสเซอร์ในการประมวลผลถึง 4 ตัว ซึ่งทำให้งานต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ชิปซีพียู Intel Core 2 Extreme Dual-core
Intel Core 2 Extreme ถือเป็นซีพียูประสิทธิภาพสูงอย่างแท้จริง ซึ่งเปิด
ตัวตาม Intel Core 2 Duo ไม่นานนัก เป้าหมายนอกจากสร้างความเป็นเบอร์
หนึ่งในแวดวงผู้ผลิตซีพียูแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับการนำชิปซีพียู
ตัวนี้ไปใช้ก็คือ งานประมวลผลมัลติมีเดียระดับสูง เช่น เกม 3 มิติความละเอียด
สูง/สมจริง แอพพลิเคชั่นสำรหับสร้างไฟล์มัลติมีเดียระดับสูง (จนถูกเรียกว่าซีพียู
สำหรับเกม 3 มิติที่ดีที่สุด) เพื่อการแสดงผลที่ลื่นไหล ไม่สะดุดทำให้ซีพียูต้อง
รองรับการประมวลผลในระดับที่ซับซ้อนได้ และมีความเร็วในการประมวลผลสูง
Intel Core 2 Extreme ยังคงมาพร้อมเทคโนโลยี Dual-core และยังมีการยกเลิกตัวควบคุมการใช้ความเร็วบัสของโปรเซสเซอร์ (OverSpeed
Protection) เพื่อให้สามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุดขึ้นไปอีกสำหรับแอพพลิเคชั่นและเกมที่มีการประมวลผลสูง แอนิเมชั่นเสมือนจริง หรือตัวละคร
ชิปซีพียู Intel Core 2 Duo
Intel Core 2 Duo โดดเด่นในการเป็นชิปซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมี
ทั้งรุ่นที่ใช้บนโน๊ตบุ๊กและบนเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ซึ่งชิปซีพียูรุ่นนี้มีการ
พัฒนา 2 ส่วนหลักให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น คือ ด้านการประมวลผลหลายแอพ-
พลิเคชั่นที่ต้องการทรัพยากรสูง และด้านประสิทธิภาพในการควบคุมการใช้พลัง
งานของเครื่องคอมพิวเตอร์
Intel Core 2 Duo เป็นการเปิดตัวชิปซีพียูแบบ Dual Core เต็มรูปแบบ ที่เราสามารถรันแอพพลิเคชั่นที่มีการประมวลผลหลายส่วนพร้อม ๆ กัน
ได้อย่างราบรื่น และมีขนาดของหน่วยความจำแคชระดับ 2 ถึง 4 MB และความเร็วบัส 1066 MHz นอกจากนั้นยังรอบรับการทำงานในระดับ 64 บิต
อย่างเต็มรูปแบบด้วย (ซึ่ง AMD ชิงเปิดตัวชิปซีพียูในระดับ 64 บิตมาก่อนหน้านี้นานพอสมควร โดยชิปซีพียูรุ่นหลังจะมาพร้อมกับ AMD64 Technology ทั้งหมด)
ชิปซีพียู Intel Pentium Extreme Edition
Intel Pentium Extreme Edition เป็นซีพียูในตระกูลหลายแกน (Dual
Core) ถัดมาจาก Intel Pentium D ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า โดย Intel Pentium
Extreme Edition นั้นจะเน้นไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับงานตัดต่อวิดีโอเสียง
ที่มีประสิทธิภาพสูง แอพพลิเคชั่นสำหรับงานดิจิตอลและมัลติมีเดียที่ต้องการการ
ประมวลผลในระดับสูง รวมทั้งบรรดาเกม 3 มิติ ที่ใช้ต้องการทรัพยากรเครื่องสูง
ด้วย
Intel Pentium Extreme Edition มาพร้อมเทคโนโลยี Dual Core ที่ใช้แกนซีพียู 2 ตัวบนตัวชิปซึ่งทำงานที่ความเร็วเดียวกัน และแยกการประ
มวลผลจากกันในแต่ละส่วน (Parallel Computing) และเทคโนโลยี Hyper Threading ทำให้ซีพียูแต่ละแกนสามารถรองรับการทำงาน พร้อมกันได้
ถึง 4 งานในเวลาเดียวกันรองรับการทำงานแบบ Muti-Tasking ได้อย่างสมบูรณ์ ในซีพียูซีรีส์ 900 เพิ่มความเร็วบัสสูงถึง 1066 MHz และยังมีแทคโน
โลยี Intel Virtualization Technology ที่สามารถทำการแยกส่วนการประมวลผลในแต่ละแอพพลิเคชั่น (หรือรันหลายระบบปฏิบัติการ) จากกันอย่าง
เป็นอิสระ โดยจำลองซีพียูเป็นหลายตัวเพื่อแยกประมวลผลในแต่ละส่วน
ชิปซีพียู Intel Pentium D
ซีพียูหลายแกน (Dual Core) มากกว่าเทคโนโลยี Hyper Threading ที่เป็น
เพียงการจำลองให้เหมือนกับมี 2 ซีพียู แต่ Dual Core คือการมี 2 โปรเซสเซอร์
จริงรวมกันอยู่บนชิปแพ็กเกจที่รันด้วยความถี่เดียวกัน ซึ่งซีพียูแต่ละตัวจะใช้งาน
ร่วมกันชิปเซ็ตและหน่วยความจำร่วมกัน แต่การทำงานนั้นจะแยกจากกันอย่าง
สมบูรณ์ (Parallel Computing) และบนซีพียูแต่ละตัวก็จะมีหน่วยความจำแคช
ของตัวแยกกัน
หน่วยความจำแคชระดับ 2 จะมีอยู่ในซีพียูแ่ต่ละแกนแยกจากกัน และทำงานร่วมกับแกนซีพียูนั้น ๆ ทำให้ได้ผลรวมของความจำแคชระดับ 2 ใน
Intel Pentium D สูงถึง 4 MB (2X2 MB Level 2 Cache) ซึ่งทำให้การประมวลผลข้อมูลทำได้เร็วขึ้นเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโน
โลยี Intel Virtualization ที่ทำให้สามารถรันระบบปฏิบัติการหลาย ๆ ตัวได้พร้อมกัน หรือรันหลายแอพพลิเคชั่นด้วยการประมวลผลแบบแยกส่วนกัน
อย่างชัดเจน ด้วยการจำลองซีพียูออกเป็นเสมือนมีหลายตัวเพื่อแยกรันแต่ละแอพพลิเคชั่นในแบบขนานช่วยให้การทำงานในแต่ละส่วนเป็นไปอย่างราบ
รื่นสูงสุด
ชิปซีพียู Intel Pentium 4 Processor supporting Hyper-Threading
Intel Pentium 4 Processor ในรุ่นแรกๆ นั้นยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยี
Hyper-Threading (เรียกสั้นๆ ว่า HT) เข้ามารวมในชิปซีพียูด้วยซึ่งในชิปซีพียูรุ่น
หลังจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Hyper-Threading นี้ด้วยเสมอ และเรียกว่า Intel
Pentium 4 Processor supporting Hyper-Threading ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่
ทำ ให้เสมือนว่ามีโปรเซสเซอร์ทำงานอยู่ 2 ตัวบนเครื่อง ดูได้จาก System
Properties ของ Windows)
Intel Pentium 4 with HT Technology เปลี่ยนมาใช้ความเร็วบัสที่สูงถึง 800 MHz เพื่อรองรับกับเมนบอร์ดที่มีการพัฒนาไปมากขึ้น และที่
สำคัญคือการเข้ามาของเทคโนโลยี Hyper-Threading ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของซีพียู และซีพียูรุ่นถัดจากนี้จะสนับสนุนเทคโนโลยีนี้ทั้ง
สิ้น เราสามารถแบ่งชิปซีพียู Intel Pentium 4 with HT Technology ออกได้เป็น 3 รุ่น ตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต คือ รุ่นที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี
ขนาด 130 นาโนเมตร, 90 นาโนเมตร และ 65 นาโนเมตร ตามลำดับ
ชิปซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition with HT Technology
อินเทลเปิดตัว Pentium 4 Extreme Edition with HT Technology เพื่อ
ตอบสนองเทคโนโลยี และประสิทธิภาพในระดับสูง ซึ่งจะเปิดตัวชิปซีพียูตั้งแต่ที่
ความเร็ว 3.20 GHz ขึ้นไป โดยระบบบัส FSB ยังอยู่ที่สูงสุดคือ 800 MHz และ
ยังคงสนับสนุนเทคโนโลยี Hyper-Threading เช่นเดิม ที่สำคัญคือการเพิ่มหน่วย
ความจำแคชระดับ 3 (L3) เข้ามาสูงถึง 2 MB
ซีพียูในรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 130 นาโนเมตร (รุ่นแรก)และ 90 นาโนเมตร (รุ่นที่ 2) ซึ่งเป้าหมายก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับสูง (ระดับ
เดียวกับ Pentium Xeon ทีใช้อยู่บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์) สำหรับเล่นเกม 3 มิติความละเอียดสูง รวมทั้งงานตัดต่อวิดีโอในระดับมืออาชีพ การใช้งานแอพ-
พลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวไปพร้อมกันบนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิป Intel Pentium 4 Extreme Edition จะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้ เช่น การรันแอพ-
พลิเคชั่นอื่น พร้อมกับการสแกนไวรัสไปด้วย เป็นต้น โดยชิปซีพียูจะใช้กับเมนบอร์ด Socket LGA775 (สำหรับชิปรุ่นเก่าบางตัวยังคงใช้กับ Socket
478 ก็มี)
ชิปซีพียู Intel Celeron D Processor
สำหรับรองรับ คอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพ การประมวลผลไม่สูงมากนัก
(ตลาดระดับล่าง) แต่ความสามารถของ Celeron D ก็ยังรอบรับซอฟต์แวร์ และการ
ประมวลผลในอนาคต โดยรวมเอาเทคโนโลยี Intel Extended Memory 64 เพื่อ
รองรับการประมวลผลในระดับ 64 บิต และทำงานร่วมกับหน่วยความจำได้ที่สูง
ถึง 4 GB โดยมีหน่วยความจำแคชระดับ 2 อยู่ที่ 512 KB
ในช่วงแรกนั้น Intel Celeron D ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 90 นาโนเมตร และมีแคชระดับ 2 (L2 Cache) ขนาด 256 KB ต่อมาหันมาใช้เทคโน
โลยีการผลิตที่ 65 นาโนเมตร และเพิ่มแคชระดับ 2 ไปที่ 512 KB โดยสามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลผลไปได้ถึง 3.46 GHz สำหรับหมายเลข
โปรเซสเซอร์ของ Intel Celeron D นี้จะอยู่ในซีรีส์ 300
2.4 ซีพียูรุ่นต่าง ๆ จาก AMD
AMD ถือเป็นคู่แข่งตลอดกาลของอินเทลก็ว่าได้ จุดเด่นของชิปซีพียูจากค่าย AMD ก็คือ การรองรับการทำงานในระดับ 64 บิต ที่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกคือ
Athlon 64 ซึ่งถือเป็นการก้าวข้ามเทคโนโลยีระดับสำคัญของชิปซีพียู และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่จะตามมาหลังจากนี้ (ปัจจุบันการทำงานบนคอมพิวเตอร์ทั่วไปจะ
อยู่ในระดับ 32 บิต ซึ่งรวมถึงแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่บน Windows ด้วย)
นอกจากเป็นผู้นำด้านซีพียูสำหรับคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการในระดับ 64 บิตแล้ว (สามารถทำงานกับระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ยังคงใช้
ระบบ 32 บิต ได้ด้วย) AMD ยังได้เปิดตัวซีพียู 64 บิตที่เป็นแบบ Dual-Core ตามมาอีกด้วย ซึ่งสามารถทำงานในแบบ Multi-Tasking ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
AMD สามารถออกผลิตภัณฑ์ในลักษณะเป็นชุดแพ็กเกจที่ทำงานร่วมกันทั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์เดสท็อปและโน๊ตบุ๊ก และทั้งระบบที่ทำงานในระดับ 32 บิตใน
ปัจจุบัน และระบบ 64 บิตที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
ถือเป็นชิปซีพียูแรกในตระกูล AMD64Multi-Core สำหรับเครื่องคอมพิว-
เตอร์เดสก์ท็อปทั่วไป โดยนำเอาชิปซีพียู AMD64 หลายแกนมาร่วมกันประมวล
ผลอยู่บนไดส์ (Die) เดียวกัน ซึ่งทำให้ได้ประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นกว่าซีพียูแกน
เดียว (Sigle-Core) เกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
การประมวลผลของซีพียูแต่ละแกนนั้น จะแยกชุดข้อมูลกัน ทำให้สามารถรับแอพพลิเคชั่นหลายตัวพร้อมกันอย่างรวดเร็ว (Multi-Tasking) รวมทั้งซอฟแวร์ที่
ทำการประมวลผลในหลายๆ ส่วนพร้อมกันด้วย (Multi-Threaded) บนแอพพลิเคชั่นมัลติมีเดีย โดยไม่ต้องรอการประมวลผลในส่วนแรกให้เสร็จก่อนเหมือนรูปแบบ
การประมวลผลบนซีพียูแบบแกนเดียวในปัจจุบัน AMD Athlon 64 X2 Dual Core ยังคงใช้แพ็กเกจแบบ Socket 939 ที่เมนบอร์ดที่ใช้ซีพียูของ AMD ส่วนใหญ่
รองรับ เพื่อให้ง่ายต่อการอัพเกรดเครื่องของเรามาใช้ซีพียูแบบ Dual-Core ได้ทันที (โดยอัพเกรด BIOS ให้สามารถทำงานร่วมกับซีพียู AMD Athlon 64 X2
Dual Core เท่านั้น
หลังจากเปิดตัว Athlon 64 ได้ไม่นาน AMD ก็เปิดตัวชิปซีพียูในระดับ 64
บิตตามมาอีก 1 ตัว คือ Athlon 64 FX ที่เน้นไปที่ตลาดในระดับสูง ที่ใช้งาน
แอพพลิเคชั่นคอมพิวเตอร์ที่เน้นการประมวลผล เช่น เกม 3 มิติที่มีการเรนเตอร์
แบบสมจริง/ความละเอียดสูง เป็นต้น โดยสามารถทำงานได้ทั้งบนแอพลิเคชั่น
ในระดับ 32 บิตดและ 64 บิต
Athlon 64 FX มาพร้อมแพลตฟอร์ม AMD64 (คือ รองรับการทำงานบนระบบคอมพิวเตอร์ทั้งแบบ 32 บิตที่ความเร็วสูงสุด และแอพพลิเคชั่น 64 บิตใน
อนาคตด้วย) นั่นคือการรองรับคอมพิวเตอร์สำหรับรันเกม 3 มิติทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่ต้องการระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลพร้อม ๆ กันได้
อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเกมแบบ 64 บิตที่มีออกวางจำหน่ายแล้วด้วย (ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการในปัจจุบันต่างก็มีรุ่นระบบปฏิบัติการสำหรับรันบนระบบ 64 บิตเกือบ
หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Red Hat, SuSE หรือ Turbo Linux)
ในการเปิดตัวของ Athlon 64 ของ AMD ถือเป็นพลักผันครั้งสำคัญของวง
การซีพียู และของ AMD ด้วยเพราะถือเป้น ชิปซีพียูรุ่นแรกที่ก้าวมาทำงานใน
ระดับ 64 บิต แทนที่จะเป็นการทำงานในรพับ 32 บิตที่ระบบคอมพิวเตอร์ส่วน
ใหญ่ในปัจจุบันทำอยู่ (AMD Athlon 64 เปิดตัวมาก่อน AMD Sempron ที่มี
การใส่เทคโนโลยี AMD64 ตามมา สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในตลาดระดับล่าง)
ที่สำคัญนี่คือชิปซีพียูที่สามารถนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปทั่วไป รองรับการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ คือระบบปฏิบัติการ
และแอพพลิเคชั่นทั่วไปในระบบ 64 บิต รวมทั้งยังทำงานได้บนการทำงานในแบบ 32 บิตของซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในปัจจุบันได้ เป็นผลทำให้เราสามารถได้ซีพียูที่
ทำงานได้ถึง 2 เท่าในความเร็วที่มองเห็นอยู่
AMD Sempron เป็นชิปซีพียูสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับโฮมยูส-
เซอร์ และในสำนักงานทั่วไปที่ใช้กับแอพพลิเคชั่นพื้นฐานเป็นหลักโดยยังรวม
ความสามารถในการทำงานกับระบบคอมพิวเตอร์ทั้ง 32 บิตและ 64 บิต รวมทั้ง
เทคโนโลยี HyperTransport ไว้ด้วยพร้อมแคชระดับ 2 (L2X ที่ 512 KB ความ
เร็ซบัสรวม (Full Duplex System Bus) ที่สูงถึง 1600 MHz และสนับสนุน
เทคโนโลยี 3DNow! Professional
AMD Sempron มาพร้อมกับเทคโนโลยี AMD64 เพื่อรองรับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่รันบนระบบ 64 บิต เทคโนโลยี HyperTransport สำหรับช่วย
ให้การรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ภายในเครื่องทำได้รวดเร็วขึ้น โดยสามารถเพิ่มขนาดช่องทางการส่งผ่านข้อมูล (Bandwitch) ไปได้ถึง 6.4 GB/s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น