อุปกรณ์แสดงผล (Output) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก็คือส่วนที่ใช้แสดง หรือส่งข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลมาจากซีพียูให้กับผู้ใช้ได้รับทราบ ไม่ว่าจะ
เป็นทางการมองเห็น หรือส่งเสียงออกมา ได้แก่ จอภาพ (แสดงภาพหรือข้อความ) ลำโพง (ส่งเสียง) และเครื่องพิมพ์ ซึ่งในบทนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของ
อุปกรณ์ต่าง ๆ ในส่วนนี้ ดังต่อไปนี้
1) การ์ดแสดงผล (Video Card) : การ์ดแสดงผลทำหน้าที่แปลงสัญญาณที่เป็นดิจิตอล ให้เปลี่ยนเป็นสัญญาณภาพ และแสดงผลผ่านทางหน้าจอ
คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นตัวกำหนดคุณภาพของการแสดงผล
2) จอภาพ หรือมอนิเตอร์ (Monitor) : จอภาพเป็นส่วนที่คอมพิวเตอร์ใช้แสดงผลต่อผู้ใช้ปัจจุบันยังมีการใช้จอแบบหลอดภาพ หรือที่เรียกว่า CRT
(Cathode Ray Tube) ส่วนจอของเครื่องโน๊ตบุ๊ก และคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ จะใช้จอแบบผลึกเหลว LCD (Liquide Crystal Display)
3) การ์ดเสียง (Sound Card) : การ์ดเสียงทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอล เป็นสัญญาณเสียงออกทางลำโพง รวมทั้งยังสามารถบันทึกเสียง ผสมเสียง
ได้ด้วย
4) ลำโพง (Speaker) : ลำโพงทำหน้าที่แสดงผลทางด้านเสียงออกมาแก่ผู้ใช้ โดยทำงานร่วมกับการ์ดเสียง ซึ่งรับข้อมูลที่เป็นดิจิตอล และแปลงออกมา
เป็นสัญญาณเสียง
5) เครื่องพิมพ์ (Printer) : เครื่องพิมพ์เป็นอุปกรณ์สำหรับพิมพ์ข้อมูล (input) จากเครื่องคอมพิวเตอร์ออกมาเป็นสิ่งพิมพ์ (output) หรือกระดาษแบบต่าง ๆ
โดยเครื่องพิมพ์แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เครื่องพิมพ์ Dot Matrix, เครื่องพิมพ์ Inkjet และเครื่องพิมพ์ Laser
1. ชิปประมวลผลกราฟิก
ชิปประมวลผลกราฟิก (Graphics Processing Unit-GPU) เรียกสั้นๆ ว่า ชิปกราฟิก เป็นไมโครโปรเซสเซอร์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลภาพที่จะนำมาแสดง
บนจอภาพ ยิ่งชิปประมวลผลกราฟิกนี้มีประสิทธิภาพดีมากก็จะทำให้สามารถแสดงผลภาพที่ซับซ้อนได้ เช่น ภาพกราฟิก 3 มิติ ซึ่เราจะพบได้ในเกมต่าง ๆ เป็นต้น
1.1 ประเภทของชิปประมวลผลในปัจจุบัน
เราแบ่งชิปประมว่ลผลที่ใช้งานอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบันออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบ Integrated และแบบ Dedicated ซึ่งมีข้อดีข้อเสีย
ดังนี้
ชิปประมวลผลกราฟิกแบบ Integrated
ชิปกราฟิกบางประเภทจะถูกรวมเข้าไว้ในเมนบอร์ดของเครือ่ง (Integrated) หรือที่เรียกว่าชิปกราฟิกแบบOn-Boardซึ่งมัุกจะไม่มีหน่วยความจำ VRAM
(หน่วยความจำเฉพาะสำหรับใช้ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแสดงผล) แยกออกมา แต่จะดึงหน่วยความจำระบบที่เป็น RAM มาใช้ข้อดีของชิปประมวลผล
กราฟิกแบบนี้คือ สามารถทำงานได้ดีและมีราคาไม่สูงมากนัก แต่ชิปกราฟิกแบบ Integrated นั้นจะมีประสิทธิภาพการทำงานไม่สูงนัก จึงทำให้เล่นเกม
ได้ไม่ดีสักเท่าไร (เพราะ RAM ทำงานช้ากว่า VRAM พอสมควร ดังนั้นการแชร์แบบนี้จึงมีประสิทธิภาพสู้มี VRAM แยกออกมาไม่ได้)
ชิปประมวลผลกราฟิกแบบ Dedicated
ในปัจจุบันสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพการแสดงผลสูง จะซื้อการ์ดแสดงผลที่ติดตั้งชิปประมวลผลไว้บนตัวการ์ดมาติดตั้งเพิ่มบน
สล็อตบนเมนบอร์ด เช่น สล็อต AGP หรือสล็อตรุ่นใหม่ ๆ อย่าง PCIx (PCI Express) เป็นต้น ซึ่งจะมีหน่วยความจำ VRAM แยกออกมา (ยกเว้นบางรุ่น
ที่มีราคาถูกก็อาจดึงหน่วยความจำ RAM ของเครื่องมาใช้) ข้อดีของชิปประมวลผลกราฟิกแบบนี้คือมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูง และสามารถอัพเกรด
หรือเปลี่ยนการ์ดตัวใหม่มาใช้่งานได้ทันทีสำหรับการใช้งานโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Windows Vista ซึ่งมักต้องการประสิทธิภาพ
ในการแสดงผลสูง

ชิปประมวลผลกราฟิกแบบ Dedicated ก็คือการซื้อการ์ดแสดงผลมาติดตั้งเพิ่มลงบนสล็อตบน
เมนบอร์ดนั่นเอง
1.2 ส่วนประกอบของการ์ดแสดงผล
สำหรับชิปแสดงผลแบบ Dedicated จะติดตั้งอยู่บนตัวของการ์ดแสดงผล (Graphic Card หรือ Display Card) และนำไปติดตั้งบนสล็อตเชื่อมต่อบน
เมนบอร์ดอีกทีหนึ่งสำหรับส่วนประกอบต่างๆที่สำคัญบนตัวการ์ดแสดงผลก็คือ ชิปประมวลผลกราฟิก แรมบนตัวการ์ด พอร์ตเชื่อมต่อสายสัญญาณกับจอภาพ และ
อินเทอร์เฟสของการ์ด ดังรูป

โดยส่วนประกอบของการ์ดแสดงผลนั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ส่วนประกอบ คำอธิบาย
อินเทอร์เฟสเชื่อมต่อ เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อกับเมนบอร์ด ซึ่งแต่เดิมจะใช้การติดตั้งลงบนสล็อตแบบ PCI แต่ปัจจุบันหันมาใช้สล็อตแบบ AGP (มาตรฐาน
2x, 4x และ 8x) และ PCI Express เพื่อการทำงานที่รวดเร็ว และมีคุณภาพดีขึ้น
ชิปกราฟิก เป็นชิปควบคุมหลักในการประมวลผลข้อมูลด้านกราฟิก และนำมาแสดงออกจากจอภาพ ซึ่งช่วยลดภาวะการทำงานของซีพียูลง
ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้กับชิปกราฟิกอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดคุณภาพในการแสดงผลที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น ชิป GeForce 8,
ATi Radeon 9800 เป็นต้น
แรม เป็นหน่วยความจำสำหรับการ์ดแสดงผลโดยเฉพาะ โดยทำงานร่วมกับชิปกราฟิกแบบเดียวกับแรมบนเครื่องที่ทำงานร่วมกับซีพียู
ทำให้การแสดงผลมีประสิทธิภาพสูงขึ้นสิ่งที่ควรพิจารณาสำหรับแรมก็คือ ชนิดและขนาดของแรมบนการ์ด
ส่วนเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ สำหรับส่วนนี้เป็นช่องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับรุ่นของการ์ดว่าสนับสนุนคุณสมบัติแบบใดบ้างที่มีแน่ ๆ ก็คือ พอร์ต VGA
หรือ DVI สำหรับต่อกับจอภาพ
นอกจากนั้นการ์ดบางรุ่นยังมีช่องต่อต่าง ๆ ต่อไปนี้เพิ่มด้วย


คอมพิวเตอร์ตรุ่นประหยัดในปัจจุบัน มักจะมีชิปสำหรับแสดงผลติดตั้งมาพร้อมกับเมนบอร์ดหรือเรียกว่า Video on Board อยู่แล้ว ซึ่งส่วนเชื่อมต่อต่าง ๆ ที่
ออกมาทางด้านหลังเมนบอร์ดก็จะมีเพียงพอร์ต VGA สำหรับต่อเข้ากับสายสัญญาณจากจอภาพเท่านั้น
1.3 คุณสมบัติของการ์ดแสดงผล
นอกจากการพิจารณาตัวชิปบนการ์ดแล้ว ในการเลือกการ์ดแสดงผลมาใช้งานยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบกันด้วย เพื่อให้ได้การ์ดที่
มีประสิทธิภาพตรงกับงานที่ทำอยู่ด้วย เช่น มาตรฐานการเชื่อมต่อ ชนิดและขนาดของแรมบนการ์ด เป็นต้น
1.3.1 มาตรฐานการเชื่อมต่อ
สำหรับชิปกราฟิกรุ่นใหม่ได้ถูกปรับให้มีมาตรฐานการเชื่อมต่อเป็น PCI Express แทบทุกรุ่นแล้ว ซึ่งเมนบอร์ดรุ่นใหม่ในปัจจุบันก็มีสล็อต PCI Express
มาให้ด้วยอยู่แล้ว สำหรับมาตรฐานรุ่นเก่าที่ได้รับความนิยมมายาวนาน และยังคงมีใช้งานอยู่บ้างในปัจจุบันได้แก่ AGP (Afccelerated Graphics Port)
มาตรฐาน AGP 8x AGP 8x เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อที่สามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุด 2 GB/s เมนบอร์ดในปัจจุบันอาจยังคงมีมาตรฐาน
เชื่อม ต่อนี้อยู่โดยการ์ดหลาย ๆ รุ่น เช่น ของ WinFast ที่ใช้ชิปกราฟิก GeForce FX5800 หรือการ์ดของ Gigabyte ที่ใช้
ชิปกราฟิก ATi Radeon 9000 Pro ก็ยังคงมีรุ่นรองรับมาตรฐาน AGP 8x อยู่ด้วย

มาตรฐาน PCI Express X16 เป็นมาตรฐานที่มีใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน โดยรับ/ส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วเป็น 2 เท่าของ AGP 2x โดยใช้ความกว้างบัส
32 บิต(4 Bytes) สามารถส่งข้อมูลได้ 4 ครั้งใน 1 สัญญาณความถี่ ดังนั้นความถี่ในการส่งข้อมูลจะเท่ากับ 266 MHz นั่นคื่อ
ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดจะเป็น 266 MHz x 4 Bytes = 1064 MB/s หรือ 1 GB/s

ตารางต่อไปนี้แสดงการเปรียบเทียบอัตราเร็วในการรับ/ส่งข้อมูลของมาตรฐานการเชื่อมต่อที่มีใช้งานในปัจจุบันคือ PCIx x1, PCIx x16 และ AGP รุ่นต่างๆ
ตารางเปรียบเทียบระบบบัสแบบ PCI Express และ AGP
มาตรฐาน ความถี่ ความเร็วในการับส่งข้อมูล
PCI 33 MHz 133 MB/s
AGP 2x 133 MHz 533 MB/s
AGP 4x 266 MHz 1064 MB/s (1 GB/s)
AGP 8x 533 MHz 2128 MB/s (2 GB/s)
PCIx x1 500 MB/s
PCIx x16 8 GB/s
1.3.2 หน่วยความจำบนการ์ดแสดงผล
การทำงานของการ์ดแสดงผลนั้น มีอยู่ 2 โหมด คือ โหมด Text และโหมด Graphic ซึ่งปัจจุบันในการทำงานบน Windows นั้นเป็นการแสดงผลในแบบ
โหมด Graphic ซึ่งหน่วยความจำบนการ์ดจะคอยรับข้อมูลที่มาจากซีพียู ถ้าหน่วยความจำมากก็จะรับข้อมุลจากซีพียูมาก ช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีความ
เร็วสูงขึ้น
การพิจารณาหน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลนั้น สิ่งที่ควรดูมากที่สุดก็คือเรื่องของประเภทแรม และขนาดแรม แรมที่ใช้บนการ์ดแสดงผลในปัจจุบันมีตั้งแต่ 32-128 MB ซึ่งขนาดของแรมที่มากก็จะช่วยให้คุณภาพการแสดงผลของการ์ดสูงขึ้นตามไปด้วย สำหรับชนิดของหน่วยความจำที่ใช้กันบนการ์ดแสดงผลใน
ปัจจุบันนั้น มีดังต่อไปนี้
แรมชนิด SDRAM เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้เป็นหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์นั่นเองมีอัตราการส่งข้อมูลโดยประมาณ 528 MB/s ยังคงมี
การนำมาใช้บนการ์ดแสดงผลในปัจจุบัน
แรมชนิด DDR สามารถทำงานได้เร็วกว่าแรมชนิด SDRAM ถึง 2 เท่าที่ความถี่เดียวกัน
แรมชนิด DDR2 เป็นแรมที่ถูกพัฒนาเพื่อช่วยลดปัญหาคอขวดในการรับ/ส่งข้อมูลระหว่างชิปกราฟิกไปยังหน่วยความจำบัฟเฟอร์ ทำให้
สามารถแสดงผลได้รวดเร็วขึ้น รองรับการทำงานที่ความเร็วมากถึง 1 GHz
แรมชนิด DDR3 พัฒนาขึ้นมาต่อจาก DDR2 และถูกนำมาใช้ร่วมกับชิปแสดงผลรุ่นใหม่ ๆ โดยเพิ่มจำนวนรอบสัญญาณนาฬิกาในการ
ทำงานเพิ่มสูงกว่า DDR2 กว่าเท่าตัวเลยทีเดียว
1.4 ชิปแสดงผลจาก nVIDIA
nVIDIA เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปกราฟิกยอดนิยม ซึ่งไม่ได้ผลิตการ์ดเสดงผลโดยตรง แต่ผลิตชิปกราฟิกที่นำไป
ติดตั้งบนการ์ดแสดงผลอีกที เช่น ชิปตระกูล GeForce เป็นต้น

แม้ว่าจะเคยเป็นผุ้นำทางด้านการผลิตชิปกราฟิกมานาน แต่ในปัจจุบันคู่แข่งอย่าง ATi ก็กำลังเริ่มก้าวเข้ามาแย่งตลาดไปพอสมควร โดยชิปกราฟิกรุ่นยอด
นิยม และมีวางจำหน่ายในปัีจจุบัน ซึ่งแบ่งออกเป็นซีรีส์ต่าง ๆ ดังนี้

nVIDIA เปิดตัวชิปกราฟิกที่ต่อจาก Series 7 คือ Series 8 ภายในปีเดียวกัน (ปลายปี
2006) โดยรองรับการทำงานบน DirectX 10 และ Shader Model 4.0 มาพร้อมสถาปัตยกรรม
ใหม่ที่ทำให้สามารถทำงานบนระ บบการแสดงผลที่มีการประมวลผลสูง โดยมีรุ่นในระดับสูงคือ
GeForce 8800 สำหรับระดับกลางคือ GeForce 8500 และ 8600 และสำหรับรุ่นล่างสุดก็คือ
GeForce 8300 และ 8400
GeForce 8 Series เป็นชิปกราฟิกตัวแรกของทาง nVIDIA ที่รองรับระบบ DirectX 10 และ Shader Model 4.0 เป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ก้าวไป
อีกขั้นหนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนแปลงซึ่งเห็นไ้ด้ชัดก็คือจากการแยกการทำงานระหว่างการประมวลผล Pixel Shaders และVertex Shadersในชิปแสดงผลของ nVIDIA

GeForce 7 Series เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2006 เป็นชิปกราฟิกรุ่นใหม่ของ
nVIDIA ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง สำหรับการแสดงผล 3 มิติที่เฟรมเรตและภาพความละเอียดสูง โดย
มีรุ่นเด่น ๆ เช่น รุ่น GeForce 7950, GeForce 7900, และ GeForce 7800 ที่อยู่ในรุ่นสูงสุด
ของซีรีส์นี้ รุ่นระดับกลางคือ GeForce 7600 และรุ่นระดับล่างอย่าง GeForce 7300 และ
GeForce 7100 โดยใช้ร่วมกับสล็อต PCI Express x16 บนเมนบอร์ด (ไม่มีรุ่นที่ใช้กับสล็อต
AGP)
สำหรับ GeForce 7 Series ถือเป็นชิปกราฟิกประสิทธิภาพสูงโดยมีการนำเทคโนโลยีแบบหลายโปรเซสเซอร์บนชิป ( Multi-processor) มาใช้ด้วย เช่น
ในรุ่น GeForce 7950 GX2 ที่ใช้ชิปโปรเซสเซอร์ 2 ตัวคู่กันเพื่อการแสดงผลวิดีโอความละเอียดสูงสำหรับโฮมเธียร์เตอร์ (High Definition Quality Video)และ
เกมแบบสมจริงในอนาคต (Realistic Gaming)

GeForce 6 Series เป็นชิปกราฟิกที่เปิดตัวเมื่อปี 2004 โดยสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในซีรีส์นี้
คือ การสนับสนุน API ของ Microsoft DirectX 9.0c (Shader Model 3.0) เทคโนโลยี SLI
(Scalable Link Interface) และฟังก์ชั่นการแสดงผล
สำหรับรุ่นต่าง ๆ ของ GeForce 6 Series แบ่งออกไ้ด้เป็น 3 ระดับ คือ GeForce 6200 (รุ่นต่ำสุดในซีรีส์นี้) GeForce 6600 (ระดับกลาง) และ GeForce
6800 (ระดับสูง)

GeForce FX เป็นชิปกราฟิกรุ่นเก่าของ nVIDIA โดยพัฒนาต่อมาจากรุ่น GeForce 4
และหันมาใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.13 ไมครอนบรรจุทรานซิสเตอร์ไว้ภายในถึง 125 ล้าน
ตัว และเริ่มต้นทำงานที่ความถี่สัญญาณนาฬิกาสูงถึง 500 MHz นอกจากนั้นยังนำแรมชนิด
DDR2 มาใช้สนับสนุนการเชื่อมต่อมาตรฐาน AGP 8x และรองรับ DirectX 9.0b nVIDIA เปิดตัว
GeForce FX สำหรับผู้ใช้ในระดับต่าง ๆ กัน โดย
GeForce FX 5200 และ 5500 สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการแสดงผลในระดับที่ไม่สูงนัก
GeForce FX 5700 สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการแสดงผลในระดับปานกลาง
GeForce FX 5900 สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการแสดงผลในระดับสูง
1.5 ชิปแสดงผลจาก
ATi เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปหราฟิกที่มีคุณภาพสูง ที่เป็นคู่แข่งดดยตรงกับค่าย nVIDIA ซึ่งปัจจุบัน
ทางATi ไปจับมือกับผู้ผลิตชิปซีพียูชื่อดังอย่าง AMD และมีการผลิตชิปประมวลผลแบบ Integrated เพื่อทำงานร่วมกับซีพียูจากค่าย AMD ในแบบครบเซตด้วย

สำหรับชิปแสดงผลในปัจจุบันของ ATi ที่รู้จักกันดีคือ ชิปตระกูล Radeon ซึ่งมีทั้งรุ่นสำหรับตลาดระดับบนที่ต้องการคุณภาพการแสดงผลสูง ๆ อย่าง
Radeon 9700, 9700 Pro และ Radeon 9800 สำหรับรุ่น Radeon 9500 เป็นกราฟิกชิปในระดับกลาง ส่วน Radeon 9000 (และรุ่น 9000 Pro) เป็นชิป
กราฟิกราคาประหยัด นอกจากนั้นในปัจจุบันมีการเปิดตัวชิปในตระกูลล่าสุดอย่าง Radeon ตะกูล X1000 ที่มาพร้อมประสิทธิภาพการแสดงผลในระดับสูง โดยรุ่น
Radeon X1950 ที่มีจำนวนทรานซิสเตอร์สูงถึง 384 ล้านตัว พร้อมหน่วยความจำสำหรับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ GDDR4

ATi เปิดตัว Radeon R600 Series ไปเมื่อกลางปี 2007 (ชื่อเดิมคือ Radeon HD 2000) โดยมี
การพัฒนาร่วมกับค่ายชิปซีพียูชื่อดังอย่าง AMD เป็นรุ่นที่มีชื่อก้าวข้าม x2000 ขึ้นไป เพื่อรองรับ API ล่าสุด
อย่าง DirectX 10.0 และ Shader Model 4.0 ใช้เทคโนโลยีการผลิต 65 นาโนเมตร สำหรับชิปแสดงผล
ที่ออกมาแล้วคือ Radeon HD 2400 (ระดับล่าง) Radeon HD 2600 (ระดับกลาง) และ Radeon HD
2900 (ระดับสูง)

ชิป ATi Radeon R500 Series เปิดตัวเมื่อปลายปี 2005 ซึ่งเป็นรุ่นที่มีการรองรับการ
API DirectX 9.0c และถือเป็นการเปิดตัวชิปในรุ่น Radeon X1000 ขึ้นไปของ ATi (ปัจจุบันมีการเปิดตัว
ในซีรีส์ Radeon R600 ตามมาแล้วเมื่อกลางปี 2007 นี่เอง) ใน ATi Radeon R500 Series นี้ใช้
เทคโนโลยีการผลิตขนาด 90 นาโนเมตร ในบางรุ่นมีการเพิ่มเทคโนโลยี Crossfire ที่ช่วยให้การทำงาน
ของ GPU เสมือนมี 2 ตัว (ดูรายละเอียดเทคโนโลยีนี้ในหัวข้อถัดไป) และในรุ่นสูงสุดของซีรีย์นี้ คือ
Radeon X1950 มีขนาดของ Memory Bandwidth สูงกว่า 50 GB/s เลยทีเดียว
สำหรับการ์ดในซีรีย์นี้แบ่งรุ่นต่าง ๆ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับล่าง (Radeon X1300, X1350) ระดับกลาง (Radeon X1600, X1650) และในระดับสูง
(Radeon X1800, X1900, X1950) สำหรับมาตรฐานการเชื่อมต่อจะใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อ PCI Express แทบทั้งหมด

ชิป ATi Radeon R400 Series เปิดตัวเมื่อปี 2004 รองรับ API DirectX 9.0b และ Model Shader 2.0b ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ 130 นาโนเมตร และหันมาใช้หน่วยความจำแบบ GDDR3 โดย
ทำให้ขนาดของ Memory Bandwidth สูงได้ถึง35 GB/s
สำหรับการ์ดในซีรีส์นี้ยังแบ่งรุ่นต่างๆ ออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับกลาง (Radeon X700, X740) และในระดับสูง (Radeon X800, X850) สำหรับมาตรฐาน
การเชื่อมต่อ ยังคงมีทั้งติดตั้งบนสล็อต AGP 8X และรุ่นใหม่ ๆ ที่หันมาใช้การติดตั้งบนสล็อต PCI Express

ชิป ATi Radeon R300 Series เป็นรุ่นที่ 3 ในตระกูล Radeon เปิดตัวเมื่อปี 2002 รองรับการ
แสดงผล 3 มิติ (Direct3D 9.0 และ OpenGL 2.0) โดยยังคงส่วนการประมวลผลแบบ 2 มิติ และการแสดง
ผลภาพวิดีโอที่มีจากรุ่นก่อนหน้านี้ไว้เช่นเดิม
สำหรับการ์ดในซีรีส์นี้ยังแบ่งรุ่นต่าง ๆ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับล่าง (Radeon 9500, X300) ระดับกลาง (Radeon 9500, 9600, X550, X600) และใน
ระดับสูง(Radeon 9700, 9800) สำหรับมาตรฐานการเชื่อมต่อยังคงมีทั้งติดตั้งบนสล็อต AGP 8X และรุ่นใหม่ๆ ที่หันมาใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อ PCI Express
ตั้งแต่ปลายปี 2004 เป็นต้นมา
2. จอแสดงผล
จอแสดงผล หรือจอภาพ หรือจอมอนิเตอร์ (Display Monitor) ทำหน้าที่รับข้อมูลต่าง ๆ ที่ส่งมาจากการ์ดแสดงผลเพื่อนำมาแสดงบนจอภาพให้แก่ผู้ใช้ได้
มองเห็น และทำงานด้วยได้ การเลือกใช้จอมอนิเตอร์ที่เหมาะสมกับงานที่ทำ ทั้งชนิดของจอภาพ ขนาดของจอภาพ และอัตราการรีเฟรชภาพถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อ
ให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเป็นไปอย่างสะดวกที่สุด
2.1 ประเภทของจอแสดงผล
จอแสดงผล หรือจอมอนิเตอร์ (Monitor) ทำหน้าทีรับข้อมูลต่าง ๆ ที่ส่งมาจากการ์ดแสดงผลเพื่อนำมาแสดงบนจอภาพให้แก่ผู้ใช้ได้มองเห็น และทำงาน
ด้วยได้ การเลือกใช้จอมอนิเตอร์ทีเหมาะสมกับงานที่ทำ ทั้งชนิดของจอภาพ ขนาดของจอภาพ และอัตราการรีเฟรชภาพ ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การใช้งานเครื่อง
คอมพิวเตอร์ของเราเป็นไปอย่างสะดวกที่สุด
จอแสดงผลที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ จอภาพแบบ CRT ที่ใช้การทำงานแบบยิงลำแสดงจากหลอดภาพออกมาแสดง
เป็นภาพ และจอแบบ LCD จอแบนบางที่มีพื้นที่ในการมองมากกว่า ไม่มีหลอกภาพ ทำให้จอมีขนาดบางได้มากกว่า แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย
2.1.1 จอแสดงผลแบบ CRT
จอ CRT (Cathode Ray Tube) เป็นจอที่ใช้หลอกภาพยิงแสงและรังสีออกมาแสดงเป็นภาพ จอประเภทนี้ได้รับความนิยมมานาน เพราะมีราคาถูก และมี
ความชัดเจนเพียงพอ แต่ปัญหาของจอภาพแบบ CRT ก็คือ ต้องการพื้นที่ใช้งานค่อนข้างมาก เพราะมีขนาดใหญ่ และปัญหาเกี่ยวกับรังสีจากจอภาพหากมีการใช้
งานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน (แต่ปัจจุบันก็มีการแก้ไข โดยเพิ่มคุณลักษณะพิเศษเข้าไปเพื่อช่วยให้ถนอมสายตาผู้ใช้มากขึ้น)
จอภาพแบบ CRT นี้ในปัจจุบันยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะของหลอดภาพที่ใช้
จอ CRT แบบธรรมดา
เป็นจอภาพ CRT แบบที่เห็นกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน มีราคาถูกที่สุด พื้นที่ของหน้าจอ
มีลักษณะโค้งแบน แต่ไม่แบนราบ และมีการปรับหน้าจอให้มีลักษณะ เกือบแบนแบบ
หลอกตา เพื่อให้การมองภาพดูสะดวกมากขึ้น

จอ CRT แบบ Trinitron
จอ CRT แบบ Trinitron พัฒนาโดยบริษัท Sony ซึ่งภาพที่ได้มีความสมจริง สว่าง
และถนอมสายตาของผู้ใช้ได้ดีกว่า หน้าจอมีลักษณะแบนราบ ไม่โค้งมากเหมือนกับ
จอ CRT ปกติ แต่ก็ยังคงมีขนาดใหญ่ เพราะใช้หลอดภาพในการสร้างภาพเหมือนเดิม

2.1.2 จอภาพแบบ LCD
จอภาพ LCD (Liquid Crystal Display) มีลักษณะแบนและบาง พื้นที่ในการมองมากกว่าจอแบบ CRT คือถ้าหากมีขนาด 17 นิ้ว จอ LCD จะให้เราดูภาพ
ได้เกือบเต็มขนาดของจอเลยทีเดียว ที่สำคัญจอแบบ LCD ไม่มีการแผ่รังสีออกมาจึงดูสบายตา สามารถทำงานได้ตลอดทั้งวัน และไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อพวก
แผ่นกรองรังสีมาใช้ให้ดูเกะกะ อีกทั้งขนาดของจอไม่เทอะทะ จึงประหยัดพื้นที่ในการวางบนโต๊ะทำงาน แต่เสียตรงที่มีราคาสูงกว่า 2 แบบแรก ปัจจุบันผู้ใช้
คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่หันมาใช้จอภาพแบบ LCD กันเกือบหมดแล้ว

2.2 องค์ประกอบของจอแสดงผล
ในหัวข้อนี้เราจะมาดูส่วนประกอบที่สำคัญของจอแสดงผล เพื่อใช้พิจารณา/เปรียบเทียบจอแสดงผลแต่ละรุ่นในการเลือกซื้อมาใช้งาน
ขนาดของหน้าจอ หน้าจอแสดงผลของจอมิเตอร์ในปัจจุบันมีให้เราเลือกอยู่หลายขนาดตั้งแต่ 15 นิ้ว จนถึง 22 นิ้ว การเลือกจอแสดงผล
ขนาดใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานของเรา ถ้าทำงานเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ และกราฟิกก็ควรเลือกจอที่มีขนาด
ใหญ่หน่อยเพื่อเห็นรายละเอียดของภาพชัดเจนขึ้นแต่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า ราคาก็จะสูงตามไปด้วยเช่นกัน
รูปทรงจอแสดงผล ในที่นี้ก็คือเลือกว่าจะซื้อจอ CRT ธรรมดา จอแบน หรือจอ LCD ดีซึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน และ
งบประมาณของเรา จอ CRT แบบธรรมดามีราคาต่ำที่สุด แต่ก็มีข้อเสียที่ขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับจอแบบ LCD ที่มีพื้นที่ในการมองมากกว่า ส่วนจอ CRT แบบจอแบน ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้ไม่น้อยเลย
ความละเอียดในการแสดงผล วัดจากความกว้างและความยาวของการแสดงจุดสี (Pixel) บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยิ่งจำนวนจุดสีมากก็ยิ่งทำให้ภาพ
ที่ได้ดูคมชัดมากยิ่งขึ้น โดยจอภาพในปัจจุบันจะบอกถึงความละเอียดสูงสุดในการแสดงผลที่สามารถแสดงได้ (ขึ้นกับ
ประสิทธิภาพการ์ดแสดงผลด้วย) ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังนี้
รุ่นของจอภาพ ความละเอียดการแสดงผล
VGA (Video Graphics Array) 640 x 480 พิกเซล
SVGA (Super VGA) 800 x 600 พิกเซล
XGA (eXtended Graphics Array) 1024 x 768 พิกเซล
SXGA (Super eXtended Graphics Array) 1280 x 1024 พิกเซล
SXGA Plus 1450 x 1050 พิกเซล
UXGA (Ultra eXtended) 1600 x 1200 พิกเซล
อัตราการรีเฟรช รีเฟรชเรต (Refresh Rate) เป็นจำนวนครั้งที่ภาพแสดงอยู่บนหน้าจอถูกสร้างขึ้นใหม่ใน 1 วินาที โดยมีหน่วยเป็น
เฮิร์ตซ์ (Hz) ในจอภาพแบบ CRT หากอัตรารีเฟรชน้อยเกินไปก็จะเห็นภาพแบบกะพริบ ทำให้ปวดสายตาได้เมื่อต้อง
นั่งทำงานนาน ๆ ส่วนใหญ่อัตราการรีเฟรชของหน้าจอในระดับพื้นฐานจะอยู่ที่ 75 Hz (ครั้งต่อวินาที) สำหรับจอภาพ
แบบ LCD จะไม่กะพริบเหมือนจอ CRT จึงไม่มีปัญหาในส่วนนี้
ระยะห่างระหว่างจุดสี เรียกว่า Dot Pitch คือค่าระยะห่างระหว่างจุดสี ซึ่งค่า Dot Pitch ยิ่งน้อยเพียงใด ก็แสดงว่าภาพที่ได้มีความคมชัดมาก
ขึ้นนั่นเองสำหรับจอแบบ CRTซึ่งมีการแสดงผลแบบ Shadow Mask(แผ่นเหล็กที่เต็มไปด้วยรู ซึ่งลำแสงอิเล็กตรอน
สามสีจะวิ่งผ่านแล้วไปโฟกัสเป็นจุด ๆ หนึ่ง เมื่อหลาย ๆ จุด รวมกัน ก็จะเป็นรูปภาพบนจอ) ตัว Dot Pitch จะหมายถึง
ระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางของรูบน Shadow Mask รูหนึ่งไปยังอีกจุดศูนย์กลางหนึ่ง

ค่า Dot Pitch จะวัดเป็นหน่วยมิลลิเมตร (mm) สำหรับผุ้ที่วทำงานเกี่ยวกับภาพกราฟิกที่ต้องการความละเอียดสูง คง
ต้องเลือกจอภาพที่มีค่า Dot Pitch น้อยกว่า 0.25 มม. ลงไป สำหรับ Dot Pitch บนจอ LCD จะหมายถึงระยะห่างที่
ได้ของจุดศูนย์กลางของจุดสี หรืออาจแตกต่างกันก็ได้โดยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ก็อาจได้ขนาดของ Dot Pitch ที่มาก
ขึ้น
3. การ์ดเสียง (Sound Card)
ในการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วงแรกนั้นได้ใส่ลำโพงขนาดเล็กเข้าไปเพื่อให้เกิดเสียงแจ้งให้แก่ผู้ใช้ทราบ เช่นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ เป็นต้น
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่มากมาย คือ ไม่สามารถปรับความดังของเสียง รวมทั้งโทนของเสียงได้
ต่อมามีการผลิตการ์ดเสียงขึ้น ทำให้สามารถเล่นเสียงจากไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้
รวมทั้งสามารถบันทึก และสร้างเสียงได้ด้วย ปัจจุบันบนเมนบอร์ดจะมีชิปสำหรับการ
ทำงานด้านเสียงติดตั้งมาด้วย (Sound Card) แต่ถ้าเราต้องการคุณภาพเสียงเพิ่มเติม
ก็สามารถเลือกซื้อการ์ดเสียงคุณภาพดีมาติดตั้งเพิ่มได้

3.1 หน้าที่ของการ์ดเสียง
ความสามารถของการ์ดเสียงนั้น นอกจากจะสามารถสร้างเสียง เช่น เมื่อดูหนัง หรือฟังเพลง ได้แล้ว ยังมีความสามารถด้านอื่น ๆ สำหรับทำงานร่วมกับ
โปรแกรมทางด้านเสียงโดยเฉพาะด้วย ในที่นี้เราสรุปความสามารถโดยรวมของการ์ดเสียงได้ดังนี้
หน้าที่ของการ์ดเสียง คำอธิบาย
แสดงเสียง สร้างสัญญาณเสียงที่ได้จากไฟล์เสียง ภาพยนตร์ หรือโปรแกรมต่าง ๆ และ
แสดงผลออกทางลำโพง
บันทึกเสียง รับสัญญาณเสียงที่เป็นอนาล็อกจากภายนอก โดยผ่านทางไมโครโฟน หรือ
ช่อง Line-in มาแปลงเป็นข้อมูลดิจิตอล และบันทึกเก็บเป็นไฟล์เสียงบน
พีซี
ผสมเสียง เป็นการผสมเสียงจากแหล่งเสียงต่าง ๆ เช่น ไมโครโฟน หรือช่อง Line in
เข้าด้วยกัน
การสร้างเสียง สร้างเสียงดนตรีจากไฟล์ MIDI ด้วยโปรแกรมดนตรีต่างๆ เช่น CakeWalk,
Encore เป็นต้น
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ MIDI ต่าง ๆ เช่น คีย์บอร์ด Synthesizer และ
อุปกรณ์สำหรับเล่นเกม Joystick เป็นต้น
3.2 มาตรฐานของการ์ดเสียง
ผุ้บุกเบิกการ์ดเสียงรุ่นแรก ๆ นั้นคือ Creative Labs โดยออกแบบการ์ดเสียงที่เรียกว่า Sound Blaster ซึ่งทำให้การ์ดเสียงรุ่นหลัง ๆ ต้องสนับสนุนการ
ทำงานในแบบของ Sound Blaster นี้ แต่ต่อมามาตรฐานนี้ก็หมดความสำคัญลงไป เพราะการ์ดเสียงรุ่นใหม่ต้องทำงานได้กับซอฟต์แวร์ด้านเสียงใน Windows
นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อจากบัสแบบ ISA มาเป็น PCI ซึ่งสามารถรับส่งข้อมุลได้เร็วกว่าทำให้เกิดคุณภาพของเสียงมากขึ้น เช่น เสียง
ที่เป็น 3 มิติ และเอฟเฟ็คต่าง ๆ เป็นต้น
การ์ดเสียงแบบติดตั้ง
การ์ดเสียงในรูปแบบนี้ คล้าย ๆ กับการ์ดเสียงชนิดอื่น ๆ นั่นเอง มีบัสสำหรับเสียบเข้ากับช่องสล็อต PCI บนเมนบอร์ด และจะมีส่วนด้านหลัีงของการ์ด
สำหรับต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ลำโพง (ช่อง Line-Out) รับเสียงจากภายนอก (Line-in) และช่องต่อไมโครโฟน (Mic in)
Sound on Board
สำหรับ Sound on Board นั้นเป็นเมนบอร์ดที่มีการติดตั้งชิปสำหรับทำงานด้านเสียงมาด้วยโดยจะมีช่องต่ออุปกร์ต่าง ๆ ออกมาทางด้านหลังของเคส
ไม่ต้องติดตั้งการ์ดเพิ่มเติมก็สามารถใช้ความสามารถทางด้านเสียงได้ สำหรับ Sound on Board ที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน และมักจะมาพร้อมกับ
เมนบอร์ดของ Intel ได้แก่ AC97 โดย Sound on Board มักจะมีประสิทธิภาพด้านเสียงแค่ระดับปานกลางเท่านั้น หากเราต้องการคุณภาพเสียงเพิ่มขึ้น
ก็สามารถหาการ์ดเสียงดี ๆ มาติดตั้งภายหลังได้
3.3 ส่วนประกอบของการ์ดเสียง
การ์ดเสียงจะประกอบด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และจะมีข้อความอธิบายช่องเชื่อมต่อต่าง ๆ บนการ์ดไว้ด้วย ซึ่งในการ์ดแต่ละรุ่นอาจ
เรียงลำดับช่องเชื่อมต่อเหล่านี้ไม่เหมือนกัน โดยส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มี ก็เช่น ส่วนที่ใช้เชื่อมต่อกับเมนบอร์ดหรือบัส ช่องไมโครโฟน ช่องรับสัญญาณเสียง และ
ช่องส่งสัญญาณเสียง ดังรูป

4. ลำโพง
ลำโพง (Speaker) เป็นอุปกรณ์แสดงเสียง โดยการแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ได้จากการ์ดเสียงให้เป็นพลังงานเสียงที่ไพเราะ ดังนั้นคุณภาพเสียงที่ได้จะไม่ขึ้น
อยู่กับการ์ดเสียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วการขับพลังเสียงของลำโพงก็มีผลต่อการให้กำเนิดเสียงที่ไพเราะด้วย
ลำโพงแบบฟลูเรนจ์ (Full Range)
ลำโพงที่นิยมซื้อใช้กับคอมพิวเตอร์โดยทั่ว ๆ ไปนั้น จะเป็นลำโพงแบบ
ฟลูเรนจ์ (Full Range) ซึ่งจะตอบสนองต่อความถี่เสียงแบบกว้าง ๆ ซึ่งยัง
ขาดความถี่ในช่วงที่เป็นความถี่ต่ำ และความถี่สูงได้ทั้งหมด จึงไม่สามารถ
ให้เสียงเบส และเสียงแหลมตามต้นกำเนิดเสียงที่เหมือนจริงได้

ลำโพงพร้อม Subwoofer
สำหรับผู้ที่ชอบเสียงเบสนุ่ม ๆ และเสียงแหลมใน ควรเลือกซื้อชุดลำโพงที่
แยกเสียงเบส และเสียงแหลมที่ชัดเจน ซึ่ง Subwoofer จะเป็นการแยก
ลำโพงออกเป็น 3 จุด คือ แยกเป็นเสียงซ้าย-ขวา และลำโพงตัวกลาง
สำหรับแสดงเสียงทุ้ม
> เสียงเบส จะต้องใช้กับลำโพง Sub woofer (ตอบสนองความถี่ต่ำ)
> เสียงแหลม จะต้องใช้กับทวีตเตอร์ (ตอบสนองความถี่สูง)

ชุดลำโพงระบบเสียงรอบทิศทาง
ชุดลำโพงสำหรับโฮมเธียเตอร์ เพื่อให้ได้เสียงแบบรอบทิศทาง (Surround System) ทั้งระบบ DTS และ Dolby Digital Surround โดยมีลำโพง
วางอยู่รอบทิศทางหลาย ๆ จุด โดยภายในชุดลำโพง จะต้องมีชุดขยายเสียง (Amplifier) ที่จะขับพลังเสียงให้กับลำโพง โดยเราสามารถปรับระดับ
ความดังของเสียงได้ที่ Volume และปรับคุณภาพเสียง ทุ้ม กลาง และแหลม เพื่อเพิ่มคุณภาพของเสียงที่ได้อีกด้วย
ปัจจุบันมีลำโพงรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าทางพอร์ต USB ได้ด้วย โดยไม่ต้องเข้ากับการ์ดเสียงโดยตรง ซึ่งสัญญาณเสียงที่ได้จะเป็น
สัญญาณเสียงที่ได้จะเป็นสัญญาณดิจิตอลที่ยังไม่มีการรบกวนใด ๆ เกิดขึ้น
5. เครื่องพิมพ์
พรินเตอร์ (Printer) หรือเครื่องพิมพ์ เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ใช้สำหรับพิมพ์เอกสารต่าง ๆ รวมทั้งภาพกราฟิกสวย ๆ
ภาพที่เราถ่ายจากกล้องดิจิตอล จนกลายเป็นอุปกรณ์ที่คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องต้องมีติดตั้งไว้ด้วย
สำหรับเครื่องพิมพ์ที่มีใช้งานในปัจจุบันแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
5.1 ประเภทของเครื่องพิมพ์
5.1.1 เลเซอร์พรินเตอร์ (Laser Printer)
ใช้ลำแสดงเลเซอร์ยิงไปที่ลูกกลิ้งที่ทำจากสารไวแสง ซึ่งจะดูดผง
หมึกมาติดตามเนื้อหาที่สั่งพิมพ์ จากนั้นก็จะถูกรีดด้วยความร้อนไปติดบน
กระดาษ มีความละเอียดมากที่สุด และมีความเร็วสูงสุดในบรรดาเครื่องพิมพ์
ทั้งหมด มี 2 แบบคือ แบบขาว/ดำ และแบบสี แบบขาว/ดำจะมีราคาเริ่มต้น
ไม่กี่พันบาท ส่วนแบบสีจะมีราคาอยู่ที่หลายหมื่นบาท

5.1.2 อิงก์เจ็ตพรินเตอร์ (Inkjet Printer)
พ่นน้ำหมึกเป็นละอองบนกระดาษ มีความละเอียดน้อยกว่าเลเซอร์
ราคาเครื่องจะถูก แต่ราคาหมึกจะแพง และพิมพ์ช้ากว่า เหมาะสำหรับงานสี
อาร์ตเวิร์ก สิ่งพิมพ์ และถ่ายสติ๊กเกอร์ หากจะใช้พิมพ์งานเอกสารสำนักงาน
ทั่วไปที่เป็นสีขาวดำ ราคาหมึกต่อแผ่นจะสูงกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ อีกทั้ง
ความละเอียด และความเร็วน้อยกว่ามาก จึงเหมาะนำมาใช้พิมพ์งานสีเป็น
หลัก

5.1.3 ดอตเมทริกซ์พรินเตอร์ (Dot-matrix Printer)
เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้เข็มพิมพ์ โดยกดลงบนกระดาษผ่านริบบิ้นผ้าหมึก มีความละเอียดต่ำ ราคาหมึกถูก ราคาเครื่องปานกลาง แต่พิมพ์ช้า และมี
เสียงดัง ปัจจุบันจะถูกนำมาใช้พิมพ์งานที่ต้องมีสำเนาหลายชุด

สำหรับความนิยมของผู้ใช้ส่วนใหญ่ จะใช้เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตกันอย่างแพร่หลาย เพราะได้งานพิมพ์ที่สวยงาคุณภาพสูง ในราคาที่ไม่แพง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบ
กับข้อด้อยคือเรื่องฟังก์ชั่นการทำงานมีเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ไม่สามารถทำได้ อาทิปัญหาในเรื่องของการพิมพ์กระดาษไข กระดาษมัน ซึ่งบริษัทผู้ผลิตกระดาษ
ก็ได้หาวิธีในการแก้ไขโดยผลิตกระดาษที่ใช้กับเครื่องอิงค์เจ็ตโดยเฉพาะ จนแม้แต่แผ่นใสก็สามารถพิมพ์ได้สวยงามทีเดียว ยกเว้นไม่สามารถพิมพ์บนกระดาษ
ก๊อบปี้ได้
5.2 มาตรฐานการเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์
เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่ จะเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ทางพอร์ตขนาน (Parallel) แต่ในปัจจุบันนี้มีรูปแบบการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ให้เลือกด้วย
ซึ่งสามารถส่งผ่านข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์งานได้เร็วกว่า

การเชื่อมต่อของพรินเตอร์เข้าทางพอร์ตขนาน

สายพรินเตอร์ที่ใช้การเชื่อมต่อทางพอร์ต USB
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น