การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์นั้น มีวิธีการหลาย ๆ แบบ เพื่อให้ได้เครื่องมาใช้งาน หลายคนอาจเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบครบทั้งเซต โดยอาจเป็นเครื่องแบบ
แบรนด์เนม หรือเครื่องแบบสั่งประกอบ เพื่อไม่ต้องเสียเวลามานั่งประกอบเครื่องเองภายหลัง แต่ก็ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายพอสมควรหรือบางคนอาจต้องการเลือกสเป็ค
ต่าง ๆ ของเครื่องเอง และนำมาประกอบเอง เพื่อให้ได้เครื่องที่ตรงความต้องการมากที่สุด ซึ่งต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละตัวเป็นอย่างดี
ด้วย
1. การกำหนดสเป็คเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากรู้ลักษณะการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราแล้วว่าอยู่ในระดับใด ต่อไปก็เป็นการกำหนดสเป็คเครื่องที่รองรับกับงานประจำที่จะเกิดขึ้นกับเครื่อง
พีซีนั้น ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีรายละเอียดสเป็คของอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เหมาะสมแตกต่างกันไป โดยมีแนวทางในการเลือก ดังนี้
1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับงานพื้นฐาน
งานที่ใช้จะเป็นการสร้างเอกสาร/รายงาน ฟังเพลง ชมวีซีดี และเล่นอินเทอร์เน็ต โดยที่ไม่ได้เน้นความเร็ว และเทคโนโลยีที่สูงนัก ในการเลือกซื้ออุปกรณ์
สำหรับผู้ใช้ระดับนี้ ไม่ต้องเน้นสเป็คเครื่องสูง และอยู่ในระดับราคาที่ย่อมเยา สเป็คที่แนะนำมีดังนี้
สเป็คเครื่องสำหรับพีซีระดับผุ้ใช้ทั่วไป
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สเป็คที่แนะนำ
ซีพียู รุ่น Intel Celeron D หรือ AMD Sempron ความเร็วซีพียู 2.13-3.20
GHz
แรม ประเภท DDR ขนาด 256 หรือ 512 MB (หากใช้ระบบปฏิบัติการ
Windows XP)
ฮาร์ดดิสก์ ความจุ 40 GB ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในระดับพื้นฐาน
เมนบอร์ด เลือกประเภทที่มีชิปประเภทแสดงผล และเสียงมาด้วย (VGA และ
Sound On-board) เพื่อไม่ต้องซื้อการ์ดมาติดตั้งเพิ่มอีก และเป็นการ
ลดราคาเครื่องโดยรวมลงมาด้วย
สำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น จอแสดงผลก็เลือกขนาด 17 นิ้ว สำหรับการชมภาพยนตร์ก็ได้ ส่วนไดรว์ซีดี, โมเด็ม, ลำโพง และอื่น ๆ ก็เลือกรุ่นที่สามารถใช้งาน
ได้ในราคาปานกลางก็เพียงพอ
1.2 เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับงานด้านกราฟิก
เป็นพีซีสำหรับผู้ใช้ที่ชอบติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีการใช้งานหลากหลาย เช่น ตกแต่งภาพกราฟิก งานเขียนโปรแกรม เล่นเกม ดูหนัง/ฟังเพลง มีำการลง
ซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ เพื่อทดสอบการใช้งาน อีกทั้งยังเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน เครื่องที่ตอบสนองเร็วทันใจ ไม่ช้าจนน่ารำคาญสเป็ค
เครื่องที่แนะนำมีดังนี้
สเป็คเครื่องสำหรับพีซีระดับผู้ใช้งานด้านกราฟิก
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สเป็คที่แนะนำ
ซีพียู รุ่น Intel Pentium 4 หรือ Intel Pentium D ความเร็ว 2.80-3.60 GHz หรือ
AMD Athlon 64
แรม ประเภท DDR หรือ DDR-II ขนาด 512 MB หรือ 1 GB ขึ้นไป
ฮาร์ดดิสก์ ความจุ 40-80 GB สำหรับเก็ยไฟล์ข้อมูลภาพ ซึ่งอาจมีขนาดและจำนวน
ค่อนข้างมาก
เมนบอร์ด เลือกแบบที่มีมาตรฐานการเชื่อมต่อ APG 8x สำหรับการ์ดแสดงผลคุณภาพ
ส่วนความสามารถอื่น ๆ อาจเลือกแบบที่เป็น On-board ก็ได้ เช่น ระบบ
เสียง, แฟ็กซ์/โมเด็ม, แลน เป็นต้น
การ์ดแสดงผล ควรเลือกการ์ดแสดงผลมาตรฐาน PCI Express ที่มีคุณภาพในการแสดงผล
ค่อนข้างสูง และขนาดหน่วยความจำบนการ์ด 128 MB ขึ้นไป สำหรับชิป
แสดงผลบนการ์ดควรเลือก nVidia GeForce ซีรีส์ 6 ขึ้นไป หรือ ATi Radeon R400 หรือ R500
จอแสดงผล ขนาดของจอแสดงผลควรเลือกขนาด 17 นิ้วเพื่อให้การทำงานกับภาพกราฟิก
สะดวกมากขึ้น
นอกจากนั้น ก็เลือกอุปกรณ์อื่น ๆ ตามความจำเป็นเช่น ลำโพง, ไดรว์ Combo สำหรับอ่าน/เขียนแผ่นซีดี และอ่านแผ่นดีวีดีได้ด้วย เป็นต้น
1.3 เครื่องคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง
เป็นพีซีสำหรับสร้างงานกราฟิกระดับสูง การตัดต่อเสียง หรือไฟล์วิดีโอ การสร้างภาพ 3 มิติ และเรนเดอร์เป็นภาพเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่องเครื่องพีซีชนิดนี้จะ
ใช้สเป็คค่อนข้างสูง เพราะต้องคำนวณผลลัพธ์เป็นข้อมูลมหาศาล
นอกจากนี้ในการให้บริการเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่มีสมาชิกเข้ามาใช้บริการพร้อมกันหลายๆ คน ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องที่มีสเป็คสูงเช่นเดียวกัน สเป็คเครื่องที่
แนะนำมีดังนี้
สเป็คเครื่องสำหรับพีซีประสิทธิภาพสูง
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สเป็คที่แนะนำ
ซีพียู รุ่น Intel Pentium Core 2 Extreme/Core 2 Duo หรือ AMD Athlon 64
FX/ 64 X2 ความเร็ว 2.66 GHz ขึ้นไป
แรม ประเภท DDR หรือ DDR-II ขนาด 1 GB ขึ้นไปเพื่อประสิทธิภาพในการทำ
งานร่วมกับซีพียู
ฮาร์ดดิสก์ ความจุ 80-100 GB ขึ้นไป สำหรับเก็บไฟล์วิดีโอ ซึ่งมีขนาดใหญ่
เมนบอร์ด เลือกแบบที่มีมาตรฐานการเชื่อมต่อ PCI Express สำหรับการ์ดแสดงผล
ประสิทธิภาพสูง ส่วนความสามารถอื่นๆ อาจเลือกแบบที่เป็น On-board ก็
ได้ เช่น แฟ็กซ์/โมเด็ม, แลน เป็นต้น
การ์ดแสดงผล ควรเลือกการ์ดแสดงผลมาตรฐาน PCI Express ที่มีคุณภาพในการแสดง
ผลสูง และขนาดหน่วยความจำบนการ์ด 128 MB ขึ้นไป สำหรับชิปแสดง
ผลบนการ์ดควรเลือก nVidia GeForce 7 Series / 8 Series หรือ ATi
Radeon R500 Series ขึ้นไป รวมทั้งเลือกความสามารถอื่น ๆ เพิ่มเติมได้
ตามต้องการ เช่น TV-In/Out สำหรับนำภาพเข้ามา หรือต่อออกไปแสดงบน
ทีวี, DV-In/Out สำหรับนำภาพจากกล้องดิจิตอลวิดีโอ เป็นต้น
การ์ดเสียง งานระดับนี้อาจมีเรื่องของการตัดต่อเสียงเข้ามาด้วย ควรเลือกซื้อการ์ด
เสียงประสิทธิภาพดีมาติดตั้งเพิ่มต่างหาก (ไม่ควรเลือกใช้แบบ Sound
On-board)
จอแสดงผล ขนาดของจอแสดงผลควรเลือกขนาด 17 นิ้วขึ้นไป เพื่อให้การทำงานกับ
ภาพวิดีโอ สะดวกมากขึ้น
นอกจากนั้น หากเครื่องของเราใช้ในการทำงานด้านตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ก็จำเป็นต้องเลือกการ์ดแสดงผลที่มีคุณภาพดี เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ ไม่มีการติดขัด รวมทั้งขนาดของจอแสดงผล ก็เลือกให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกด้วย
2. ลักษณะการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบันอุปกรณ์หรือเครื่องมีราคาไม่แน่นอน ดังนั้น ก่อนซื้อเครื่องเรา
ควรหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าเราจะซื้อรุ่นไหน ยี่ห้ออะไร โดยการ
อ่านข้อมูลในหนังสือหรือการเดินสำรวจตามร้านต่าง ๆ พร้อมหยิบโบรชัวร์หรือ
ใบเสนอราคาเพื่อนำมาเปรียบเทียบสเป็คและราคาว่าเป็นอย่างไร และราคานี้
ยังขึ้นอยู่กับลักษณะของการซื้อด้วย ซึ่งในปัจจุบันเราแบ่งลักษณะของการ
ซื้อคอมพิวเตอร์เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

2.1 การซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบรนด์เนม
เครื่องแบรนด์เนม (Brand name) มีข้อดีอยู่ที่ความน่าไว้วางใจ เพราะมีตัวแทนจำหน่ายแน่นอน และมีการรับประกันอย่างดี เครื่องแบรนด์เนมนี้อาจมาทั้ง
จากภายในและภายนอกประเทศ เช่น HP, Acer, IBM, Compaq, Atec, Powell เป็นต้น ซึ่งมีข้อดี/ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี ข้อเสีย
ได้เครื่องที่มีคุณภาพสูง อุปกรณ์ต่าง ๆ ถูก
คำนวณ และปรับแต่งด้วยวิศวกรที่ชำนาญ
เพื่อประสิทธิภาพเครื่อง โดยรวมมีประสิทธิ
ภาพสูงสุด
มีการประกัน และบริการหลังการขายเป็น
อย่างดี (ในบางครั้งอาจมีการฝึกอบรมการ
ใช้เครื่องหรือโปรแกรมแก่ผู้ใช้ด้วย)
เครื่องมีราคาสูง
เลือกสเป็คตามต้องการไม่ได้ (เพราะว่า
สเป็คได้ถูกกำหนดมาแล้วเป็นชุด)
สเป็คอาจไม่ล่าสุดเท่ากับที่เราซื้อแยก
ชิ้น และสั่งประกอบเอง
เนื่องจากการดูแลรักษาง่าย มีปัญหาน้อยที่สุด ดังนั้นการซื้อเครื่องแบบนี้จะเหมาะกับผู้ซื้อที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้เครื่องและมีทุนทรัพย์เพียงพอ
และเหมาะกับองค์กรที่ใช้เครื่องเป็นจำนวนมาก
2.2 การซื้อเครื่องประกอบตามใบสั่งจากร้าน
การซื้อเครื่องในลักษณะนี้ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ถือว่าได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะได้ราคาที่ถูกกว่าเครื่องแบรนด์เนมที่สเป็คใกล้เคียงกัน โดยเลือก
อุปกรณ์รุ่นที่ต้องการ และให้ทางร้านประกอบ แต่ต้องมีความรู้ทางด้านฮาร์ดแวร์พอสมควรด้วย
ข้อดี ข้อเสีย
สามารถกำหนดสเป็คและรุ่นได้
ได้เครื่องประกอบพร้อมใช้เหมือนเครื่อง
แบรนด์เนม
การประกอบเครื่อง อาจเป็นเพียงการนำ
อุปกรณ์ตามที่เราสเป็คไว้ มาประกอบกัน
เท่านั้น ไม่ได้คำนวณและปรับแต่งเพื่อให้
มีประสิทธิภาพสูง
ในกรณีที่มีปัญหา ก็ยังต้องยกเครื่องมา
ให้ร้านดูให้ (การบริการหลังการขายขึ้น
กับร้านที่ไปซื้อ
2.3 การซื้อเครื่องประกอบโดยนำมาประกอบเอง
คล้ายกับกรณีที่ผ่านมานั่นเอง แต่เป็นการซื้อแบบแยกชิ้นส่วนตามสเป็คที่ตนเองต้องการ และนำกลับมาประกอบเครื่องเอง ซึ่งข้อดีก็คือทำให้ได้อุปกรณ์
แต่ละชิ้นที่มั่นใจได้ว่าเป็นของใหม่แน่นอน แต่ก็ต้องมีความรู้ด้านฮาร์ดแวร์อย่างดีทีเดียว
ข้อดี ข้อเสีย
สามารถกำหนดสเป็คและรุ่นได้ และ
อุปกรณ์ตรงใจมากที่สุด
ผู้ซื้อต้องเสียเวลา ในการประกอบเครื่อง
เอง
ถ้าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์นั้น เรา
อาจได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ หรือ
ได้สินค้าปลอม
เมื่อเครื่องเสียต้องซ่อมเอง (ไม่มีบริการ
หลังการขาย)
หลาย ๆ คนที่เป็นมือใหม่ในด้านคอมพิวเตอร์คงอยากทราบว่าหลักในการเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละชิ้น จะเลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะสม ในหัวข้อ
ต่อไปจะขอกล่าวถึงหลักในการเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ภานในเครื่องกันแบบเรียงตัว เพื่อเป็นประโยชน์ทั้งในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบครบเซต หรือการซื้อ
ต่า่ง ๆ แยกมาติดตั้งหรืออัพเกรดเพิ่มภายหลังได้ด้วย
3. ตัวอย่างการดูสเป็คเครื่องจากใบโบรชัวร์สินค้า
ต่อไปนี้เป็นตัวอยางการดูสเป็คเครื่องจากใบโบรชัวร์ร้านค้า ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เราควรพิจารณาในการเลือกซื้อ ก่อนที่เราจะเข้าดูรายละเอียดของอุปกรณ์
ฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้นต่อไป

ตารางต่อไปนี้จะแสดงรายละเอียดสเป็คเครื่องจากโบรชัวร์สินค้าที่กล่าวถึง
สเป็คเครื่อง คำอธิบาย
intel Core 2 Duo Processor E6300
(1.86Ghz/2MB L2Cache/FSB 1066) ซีพียูจาค่าย Intel รุ่น Core 2 Duo ความเร็ว 1086 GHz (หน่วยความจำแคชระดับ 2 ขนาด 2
MB, ความเร็วบัส 1066 MHz)
1024 MB DDR-II แรมชนิด DDR-II ขนาด 1024 MB
250GB HDD SATA ฮาร์ดดิสก์ประเภท SATA ขนาด 250 GB
DVD/RW 16X (DVD Writer with Dual
Layer Function) ไดรว์สำหรับอ่าน/เขียนแผ่นซีดี/ดีวีดี รองรับการเขียนแผ่นดีวีดีด้วยความเร็ว 16X (รองรับแผ่น
ดีวีดีความจุ 7.4 GB
ATi Radion PCI Express Card X1550 512
MB with TV-Out/DVI การ์ดแสดงผล ใช้ชิป ATi Radion X1550 (สล็อต PCI Express) แรมบนการ์ด 512 MB และ
สามารถเชื่อมต่อออก TV และจอภาพ LCD ได้
9-in-1 Media Reader + IEEE1394 ช่องสำหรับอ่านการ์ดความจำแบบต่าง ๆ และพอร์ต IEEE1394 สำหรับเชื่อมต่อกล้องดิจิตอล
วิดีโอ
56K ITU V.90 Fax/Modem (Internal) พอร์ตเชื่อมต่อ FAX/Modem รุ่น ITU V.90 ความเร็ว 56K แบบติดตั้งภายใน
Integrated Ethernet 10/100 (LAN Buit-in) พอร์ตเชื่อมต่อ LAN ความเร็ว 10/100 Mbps
4 Hi-Speed USB Port (2.0) พอร์ต USB 2.0 จำนวน 4 ช่อง
Acer LCD Monitor 19" Widescreen จอภาพแบบ LCD-Widescreen ขนาด 19 นิ้ว
จากตัวอย่างดังกล่าว การที่เราจะเข้าใจใบเสนอราคาเครื่องไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ควรมีความรู้พื้นฐานภาษาอังกฤษ เพระาใบเสนอราคาเครื่องจะเป็น
ภาษาอังกฤษทั้งหมด วิธีการอ่านสเป็คเครื่องก็คือ การหาชื่ออุปกรณ์ ซึ่งชื่ออุปกรณ์จะใช้คำหลัก ๆ เหล่านี้เสมอ เช่น CPU Processer, RAM, Harddisk,
Monitor เป็นต้น ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ที่มีเพิ่มเติมก็จะเป็นชื่อยี่ห้อของอุปกรณ์นั้น (ถ้าเป็นตัวอักษร) เป็นความเร็ว ความจุ และขนาดของอุปกรณ์นั้น (ถ้าเป็นตัว
เลข) ซึ่งหากเราไม่แน่ใจว่ามีความสามารถใดที่ไม่กล่าวถึงในใบนำเสนออีกหรือไม่ ให้ลองสอบถามจากผู้ขายโดยตรงอีกครั้ง
4. การเลือกซื้อซีพียู
อันดับแรกที่เราควรให้ความสำคัญ ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ไม่ว่านำมาประกอบเองหรือซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเซตก็ตาม คือการเลือกซีพียูนั่นเอง ไม่
ว่าจะเป็นรุ่นและความเร็วของซีพียูตามระดับการใช้งานของเรา เพื่อเราจะได้ทราบรูปแบบอินเทอร์เฟส (Socket) สำหรับติดตั้งบนเมนบอร์ด เพื่อเลือกซื้อเมนบอร์ด
เพื่อเลือกซื้อเมนบอร์ดที่ตรงกับรุ่นของซีพียูต่อไป
4.1 การเลือกความเร็วของซีพียู
ความเร็วของซีพียูในปัจจุบันถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นชิปซีพียู Intel Pentium Exreme Edition รุ่นที่มีความเร็วสูงถึง 3.7 GHz และคงได้เห็น
ซีพียูความเร็ว 5.0 GHz ในไม่ช้าหลายคนคงถามว่าจะเลือกซีพียูรุ่นที่ความเร็วเท่าไรดี... คำตอบนี้ง่ายมากคือ เลือกรุ่นที่ตรงกับประสิทธิภาพของงาน โดยแบ่ง
ตามความเหมาะสมตามลักษณะของงานที่ทำได้ดังนี้
ลักษณะของงานที่ต้องการ ความเร็วซีพียู
งานพิมพ์เอกสาร ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นอินเทอร์เน็ต ใช้ความเร็ว 1.0-1.5 GHz
งานกราฟิก ตกแต่งภาพความละเอียดสูง ใช้ความเร็ว 1.5-2.0 GHz
งานสร้างมัลติมีเดีย ตัดต่อเสียง และวิดีโอ ใช้ความเร็ว 2.30 GHz ขึ้นไป
4.2 การเลือกยี่ห้อของซีพียู
หากถามว่าจะเลือกซื้อซีพียูค่ายไหนดี เท่าที่นิยมกันส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็มี Intel และ AMD เท่านั้น(นอกจกานั้นยังมีของ VIA ซึ่งออกมาสำหรับตลาดระดับ
ล่างเท่านั้น) โดยขอแนะนำข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือก ดังนี้
4.2.1 ซีพียูจากค่าย Intel
ซีพียู Intel ผลิตทั้งรุ่นที่ออกมาสำหรับตลาดระดับล่างอย่าง Celeron D และรุ่น Pentium 4 กับ Core Duo สำหรับตลาดระดับกลาง ส่วน Core 2 Duo
สำหรับตลาดระดับบน คือเครื่องที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงานสูงจริง ๆ คือซีพียูในแบบ Multi-Core โดยมากแล้ว ชิปซีพียูจากค่าย Intel จะได้รับความ
นิยมสูงกว่าค่ายอื่น ๆ

4.2.2 ซีพียูจากค่าย AMD
AMD ถือเป็นคู่แข่งตลอดกาลของ Intel โดยมีชิปซีพียูรุ่น Sempron สำหรับตลาดราคาประหยัดและ Athlon 64 สำหรับตลาดระดับบน ซึ่งโดยรวมแล้ว ชิป
ซีพียูของ AMD มีราคาต่ำกว่า Intel พอสมควร ถือเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพก็ถือว่าไม่ด้อยกว่ากัน

จุดพลิกผันของ AMD อยู่ที่การเปิดตัวชิปซีพียูที่ทำงานแบบ 64 บิต (เครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปจะทำงานอยู่ที่ 32 บิต) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งการทำงาน
ของซีพียูไปอีกก้าวหนึ่ง โดยใช้ชื่อว่า Athlon 64 ที่เมื่อก่อนถูกผลิตขึ้นมาใช้เฉพาะบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือเครื่องเวิร์คสเตชั่นเท่านั้น แต่ปัจจุบัน Athlon 64 นั้น
ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับเครื่องเดสก์ท็อปด้วย ซึ่งแม้ว่าแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่ยังคงทำงานแบบ 32 บิต แต่ในอนาคตเราคงได้เห็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำงานใน
ระบบ 64 บิตมากขึ้น เพื่อรองรับซีพียูในระดับนี้

ตลาดของชิปซีพียูมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดตัวเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ พร้อมทั้งเพิ่มความเร็วในการทำงานของซีพียูที่รวดเร็ว ดังนั้นหาก
เราต้องการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ควรศึกษาความเคลื่อนไหวพร้อมทั้งความเร็วของชิปซีพียูที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันอีกครั้ง
www.intel.com ความเคลื่อนไหว และรุ่นต่าง ๆ ของชิปซีพียูจากค่าย Intel
www.amd.com ความเคลื่อนไหว และรุ่นต่าง ๆ ของชิปซีพียูจากค่าย AMD
5. การเลือกซื้อเมนบอร์ด
การเลือกเมนบอร์ด น่าจะเป็นอุปกรณ์ลำดับที่ 2 หลังจากเลือกรุ่นซีพียูที่ต้องการได้แล้ว โดยนอกจากเลือกรุ่นที่รองรับกับซ็อกเก็ตของซีพียูแล้ว อีกหลาย ๆ
สิ่งที่ต้องมองก็คือ จำนวนของสล็อตสำหรับติดตั้งการ์ดต่าง ๆ บนเมนบอร์ด เช่น การ์ดแสดงผล การ์ดเสียง หรือการ์ดเครือข่าย หรืออาจเลือกแบบให้มีชิปสำหรับ
ทำงานด้านต่าง ๆ ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดเลยก็ได้ (On Board) เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่าย

5.1 การเลือกช่องติดตั้งซีพียูบนเมนบอร์ด
ซีพียูที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันนั้นเป็นแบบซ็อกเก็ต (Socket) ทั้งซีพียูของค่าย Intel, AMD และ VIA ส่วนเรื่องรายละเอียดของซีพียูว่าจะต้องใช้ Socket
แบบใด (เช่น Socket AM2, Socket 478) ก็ขึ้นอยู่กับซีพียูที่ใช้ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ดูบนกล่องสินค้าของเมนบอร์ดว่าเป็นเมนบอร์ดสำหรับซีพียูซ็อกเก็ตแบบใด
รุ่นของซีพียูและรูปแบบของ Socket สำหรับติดตั้ง
ซ็อกเก็ต/สล็อต รุ่นของซีพียู
LGA 775 ชิปจากค่าย Intel รุ่นใหม่ทุกรุ่น
Socket 478 Intel Pentium 4 (Nortwood), Intel Celeron (Willamette)
Socket 754 AMD Athlon 64, AMD Sempron, AMD Turion 64
Socket 940 AMD Athlon 64 FX, AMD Opteron
Socket 939 AMD Athlon 64 FX, AMD Athlon 64 X2, AMD Sempron 3xxxx
Socket AM2 AMD Athlon 64, 64 X2, 64 FX (รุ่นใหม่)
นอกจากนั้น ยังต้องดูเรื่องความเร็วบัส (มักเรียกว่า FSB : Front Side Bus) ของเมนบอร์ดกับซีพียูด้วยว่าตรงกันหรือไม่ หรือสามารถรองรับการอัพเกรด
ซีพียูรุ่นใหม่ในอนาคตได้หรือไม่
5.2 การเลือกชิปเซ็ตบนเมนบอร์ด
นอกจากเลือก Socket สำหรับติดตั้งซีพียูบนเมนบอร์ดที่ต้องการได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราน่าจะดูควบคู่กันไปก็คือ ชิปเซ็ต (Chipset) ที่ใช้บนเมนบอร์ด ที่
เป็นส่วนควบคุมการทำงานบนเมนบอร์ดทำหน้าที่ติดต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งชิปเซ็ตทีเ่ลือกควรมีความน่าเชื่อถือได้ด้วย
1) ชิปเซ็ตจากค่าย VIA
เนื่องจากเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด วางตลาดชิปเซ้ตเร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ชิปเซ็ต VIA จึงได้รับความนิยมสูงทีเดียว
2) ชิปเซ็ตจากค่าย Intel
Intel ผลิตชิปเซ็ตให้กับซีพียูของตัวเองเท่านั้น แม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ราคาก็มักสูงตามไปด้วย ในปัจจุบันซีพียูจากค่าย Intel มักจะใช้ชิปเซ็ตของ Intel
และ SIS เป็นหลัก
3) ชิปเซ็ตจากค่าย SIS
SIS มีชื่อเสียงในด้านการนำชิปไปใช้บนเมนบอร์ดแบบ Built-in คือ บนเมนบอร์ดจะประกอบด้วยชิปแสดงผล, ชิปเสียง และเครือข่าย LAN อยู่จนเกือบ
ครบแทบไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เหล่านี้มาติดตั้งเพิ่ม
5.3 การเลือกช่องเสียบการ์ดบนเมนบอร์ด
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการเลือกเมนบอร์ด ก็คือการวางแผนสำหรับติตตั้งการ์ดต่าง ๆ ภายหลัง เช่น การ์ดแสดงผล การ์ดเครือข่าย การ์ดโมเด็ม เป็นต้น
ซึ่งต้องลองคำนวณดูว่าจะต้องใช้กับสล็อตใดบ้าง และต้องใช้กี่สล็อต หรือจะเลือกแบบ OnBoard ซึ่งสล็อตต่าง ๆ ที่มีอยู่บนเมนบอร์ดในปัจจุบัน ได้แก่
ส่วนประกอบ คำอธิบาย
สล็อตแบบ AGP สำหรับติดตั้งการ์ดแสดงผล โดยมีความเร็วหลาย ๆ ระดับ เช่น 2X, 4X และ
8X (ทำงานได้ที่ความเร็ว 66 MHz, 133 MHz และ 266 MHz ตามลำดับ)
และต้องเลือกให้ตรงกับ มาตรฐานของการ์ดแสดงผลตัวที่จะนำมาใช้ด้วย
(แบบ 2X, 4X หรือ 8X)
สล็อตแบบ PCI เป็นช่องเสียบการ์ดชนิดอื่น ๆ ซึ่งทำงานที่ความเร็วต่ำกว่าสล็อตแบบ AGP
คือ 33 MHz สำหรับการ์ดที่ใช้ร่วมกับสล็อตนี้มีหลายชนิด เช่น การ์ดเสียง,
การ์ดเครือข่าย, การ์ดโมเด็ม, การ์ดแสดงผลรุ่นเก่า ๆ เป็นต้น
สล็อตแบบ PCI Express เป็นมาตรฐานใหม่ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงกว่ามาตรฐาน PCI และ
AGP เดิม โดยจะเข้ามาแทนที่ทั้ง 2 มาตรฐานข้างต้น ปัจจุบันใช้สำหรับติด
ตั้งการ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ หากต้องการทำงานที่ต้องใช้การแสดงผลสูงๆ ควร
มองหาสล็อตนี้ไว้เผื่อด้วย
เราต้องตรวจสอบดูว่ามีอะไรติดตั้งแบบ On Board มาให้ด้วยหรือเปล่า เช่น มี Sound on Board, VGA on Board หรือเปล่า เพราะหากมีอยู่แล้วก็ไม่จำ
เป็นต้องติดตั้งการ์ดเสียง หรือการ์ดแสดงผลภายหลังอีก หรืออาจเลือกเมนบอร์ดรุ่นอื่นที่ไม่มี On Board เหล่านี้และซื้อการ์ดคุณภาพที่ต้องการมาติดตั้งได้เช่นกัน
5.4 การเลือกสล็อตติดตั้งแรม
การเลือกสเป็คสำหรับเมนบอร์ดที่เหลือก็มีสล็อตสำหรับติดตั้งแรม ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าเราต้องเลือกซื้อแรมประเภทใดมาใช้ (ซึ่งต้องดูควบคู่กับความเร็ว
บัสของเมนบอร์ดด้วย) โดยในปัจจุบันนั้นมีแรมที่นิยมใช้อยู่ 4 ประเภทคือ
ส่วนประกอบ คำอธิบาย
DDR-2 พัฒนาต่อจาก DDR และเป็นมาตรฐานของแรมในปัจจุบัน โดยทำงานด้วย
ความเร็วที่เพิ่มเป็น 2 เท่าของ DDR
DDR-SDRAM พัฒนามาจาก SDRAM บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า DDR ซึ่งเป็นที่นิยมมากใน
อดีต
RDRAM แรมที่มีคุณภาพแรงสุดในปัจจุบัน แต่เนื่องจากราคาที่แพงมากอยู่ ทำให้มี
เมนบอร์ดไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่รองรับแรมชนิดนี้
SDRAM แรมแบบเก่าที่เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ ไม่รองรับแล้ว
5.5 การเลือกช่องเชื่อมต่อภายนอก
ส่วนสุดท้ายที่ต้องดูกันก็คือ ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอกว่ามีขั้วต่อใดมาให้บ้าง และมีให้เพียงพอหรือไม่ เช่น ช่องต่อเมาส์และคีย์บอร์ด (แบบ PS/2), พอร์ต
ขนาน (Parallel Port), พอร์ตอนุกรม (Serial Port), พอร์ต USB เป็นต้น ซึ่งต้องดูว่าอุปกรณ์ภายนอกของเราใช้รูปแบบการเชื่อมต่อใดบ้าง
6. การเลือกซื้อแรม
ในส่วนนี้จะขอสรุปหลักสำคัญ ที่เราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาเมื่อต้องการเลือกซื้อแรมมาใช้สักตัว โดยสิ่งที่เราต้องดูก็คือ ประเภทของแรม, ขนาดของแรม
และความเร็วของแรม ดังรายละเอียดต่อไปนี้

คุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อแรม
คุณสมบัติ ความหมาย
ชนิดของแรม เลือกให้ตรงกับสล็อตติดตั้งบนเมนบอร์ด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 4 ประเภท คือ SDRAM
ที่กำลังจะหมดไปในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ แรมชนิด DDR และ DDR-2 ซึ่งเป็น
มาตรฐานของแรมในปัจจุบัน และ RDRAM ที่ใช้ทำงานร่วมกับเมนบอร์ดสำหรับ
ซีพียู Pentium 4 เท่านั้น
ขนาดของแรม มีอยู่หลายขนาด ได้แก่ 128, 256, 512 MB และ 1 GB ให้เราพิจารณาจากความ
ต้องการการใช้งานของเครื่อง สำหรับเครื่องทั่วไปเลือกขนาด 256-512 MB ก็
เพียงพอ แต่สำหรับเครื่องที่ทำงานด้านมัลติมีเดีย/กราฟิกระดับสูงก็ควรใช้แรม
ขนาด 1 GB ขึ้นไป
ความเร็วของแรม ความเร็วในการทำงานแรมแต่ละประเภทจะแตกต่างกันไป ซึ่งความเร็วนี้ต้องรอง
รับกับซีพียูที่เราใช้งานด้วยว่าทำงานที่ระบบบัสเท่าไหร
7. การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์
ในแผ่นโฆษณาของร้านคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ นิยมยกค่าความจุข้อมูล และความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของฮาร์ดดิสก์มาเป็นจุดขาย เช่น Ultra ATA/100, 7200 RPM (รอบต่อนาที) วิธีการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ที่เหมาะสมนั้นเราต้องคำนึงถึงความจุฮาร์ดดิสก์กับปริมาณข้อมูลที่ใช้ พร้อมทั้งเผื่อพื้นที่สำหรับอนาคตด้วย
ส่วนเรื่องความเร็วน่าจะเลือกซื้อรุ่นความเร็วที่สุดเราสามารถซื้อได้

คุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์
คุณสมบัติ ความหมาย
ขนาดความจุ ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์มีขนาดเป็น GB (กิกะไบต์) หรือพันล้านไบต์ ความจุของ
ฮาร์ดดิสก์ยิ่งสูงก็ยิ่งมีเนื้อที่เก็บข้อมูลมากขึ้น การเลือกขนาดของฮาร์ดดิสก์
์นั้นเราต้องคิดเผื่อถึงขนาดข้อมูล ที่จะทำงานในอนาคตด้วยความจุฮาร์ดดิสก์
ที่มีให้เลือกในปัจจุบันมีตั้งแต่ 40 GB, 60 GB ไปจนถึง 1 TB (1,000 GB)
อัตราการส่งผ่านข้อมูล อัตราการส่งข้อมูลของฮาร์ดดิสก์มีหน่วยเป็น MB/s (ล้านไบต์ต่อวินาที)
ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ที่มีวางขายอยู่จะเป็นแบบ Ultra ATA/66, ATA/100,
ATA/133 และมาตรฐานใหม่คือ Serial ATA (150 MB/s) แต่เมนบอร์ดจะ
ต้องสนับสนุนกับค่าความเร็วเหล่านี้ด้วย
ความเร็วรอบ ความเร็วรอบ (RPM : Round Per Minute) หรือรอบต่อวินาที ยิ่งจำนวน
รอบยิ่งสูง อัตราการอ่านข้อมูลต่อวินาทีก็ยิ่งมาก ฮาร์ดดิสก์ที่มีวางขายใน
ตลาดจะมีอยู่ 3 รุ่น คือรุ่น 5400 RPM, 7200 RPM และ 10,000 RPM แนะ
นำให้เราซื้อฮาร์ดดิสก์แบบ 10,000 RPM โดยเฉพาะถ้างานที่เราใช้ต้อง
เขียน หรืออ่านไฟล์จากฮาร์ดดิสก์บ่อย ๆ
เวลาในการเข้าถึงข้อมูล ตัวแปรนี้เกี่ยวข้องกับความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลโดยตรง ยิ่งค่านี้น้อย
มากเท่าไรก็ทำให้การทำงานกับฮาร์ดดิสก์เร็วยิ่งขึ้น เวลาในการเข้าถึงข้อมูล
โดยเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 8-12 มิลลิวินาที (ms) ส่วนระยะเวลาที่แนะนำคือ
8-9 มิลลิวินาที
ฮาร์ดดิสก์ชื่อดังที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันนั้น ค่อนข้างไว้ใจได้ในเรื่องการให้บริการ และก็มีให้เราเลือกหลากหลายรุ่น หลายขนาดเลยทีเดียว
IBM เป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่ไว้ใจได้มานาน มีคุณภาพ ถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งฮาร์ดดิสก์ IDE ความเร็วสูง มีความจุให้เลือกกันตั้งแต่ 20 GB ไปถึง 750 GB
Seagate หากว่ากันถึงเรื่องบริการหลังการขายและการรับประกันดีแล้ว คงต้องยกให้กับฮาร์ดดิสก์ของทางค่าย Seagate มีผู้ินิยมใช้ค่อน
ข้างมากในบ้านเรา รวมถึงราคาที่ไม่สูงมากอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันได้นำผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ค่ายเดิมอย่าง Maxtor มาร่วมไว้ภายใต้
แบรนด์ด้วย
Western บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์คุณภาพ โอนถ่ายข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินไป และมีความทนทาน เป็นฮาร์ดดิสก์ที่
คุ้นเคยอีกค่ายหนึ่ง
Hitachi เป็นบริษัทที่แยกส่วนการผลิตอุปกรณ์จุข้อมูลออกมาจาก IBM โดยเมื่อต้นปี 2007 ได้เปิดตัวฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุสูงถึง 1000 GB (1 TB) ออกมา
นอกจากนั้นยังมี Samsung ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่ได้รับความนิยมพอสมควรในบ้านเรา, Fujitsu ที่เน้นผลิตฮาร์ดดิสก์สำหรับเครื่องโน๊ตบุ๊กและเครื่องเซิร์ฟเวอร์
เป็นหลัก และ Toshiba ผู้ผลิตฮาร์ดดิสกืขนาด 2.5 นิ้วและ 1.8 นิ้วที่ใช้บนเครื่องโน๊ตบุ๊ก
8. การเลือกซื้อการ์ดแสดงผล
นอกจากการดูจากชิปกราฟิกแล้ว (nVIDIA หรือ
ATi) ยังมีสิ่งที่เราจำเป็นต้องคำึนึงถึงในการเลือกซื้อ
การ์ดแสดงผลอีกหลายประการ เ่ช่น อินเทอร์เฟสของ
การ์ด, ชนิดและขนาดของหน่วยความจำบนการ์ด เป็น
ต้น ดังรายลเอียดต่อไปนี้

คุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผล
คุณสมบัติ ความหมาย
อินเทอร์เฟสของการ์ด การ์ดแสดงผลในปัจจุบัน จะใช้มาตรฐาน PCI Express ส่วนรุ่นเก่าจะใช้
มาตรฐาน AGP ซึ่งมีอยู่ 3 มาตรฐานด้วยกัน คือ AGP 2X, AGP 4X, และ
AGP 8x ซึ่งทำงานที่ความเร็ว 133 MHz, 266MHz และ 533 MHz ตาม
ลำดับ เราจำเป็นต้องเลือกการ์ดที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับเมนบอร์ด
ด้วย เพราะหากซื้อการ์ดที่ทำงานด้วยความเร็วสูงกว่า ก็ไม่สามารถทำ
งานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่ดีนั่นเอง
ชนิดของแรมบนการ์ด แรมที่มีการนำมาใช้บนการ์ดแสดงผลนั้น ป้จจุบันนิยมใช้อยู่ 3 แบบคือ
DDR-SDRAM, DDR2 และ DDR3 และมาตรฐานในปัจจุบันคือ DDR2
และ DDR3
ขนาดแรมบนการ์ด นอกจากประเภทของแรมแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องดูก็คือขนาดความจุของแรม
ที่ใช้ซึ่งเป็นตัวกำหนดความเร็วในการทำงานของการ์ดแสดงผลด้วย ยิ่ง
แรมมากเท่าไร ก็จะช่วยให้เราสามารถปรับความคมชัดของสี/ค่าความลึก
ของสีได้มากขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 128 MB หรือสูงกว่า
9. การเลือกซื้อจอแสดงผล
นอกจากประเภทของจอแสดงผลแล้ว ยังมีปัจจัย
อีกหลาย ๆ ตัวที่เราควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น ขนาด
หน้าจอ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะงานของเราใช้นั่นเอง
อัตราการรีเฟรชของหน้าจอ ถ้ามีค่ามากก็จะช่วยถนอม
สายตาเราได้เช่นกัน เป็นต้น ดังรายละเอียดต่อไปนี้

คุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อจอแสดงผล
คุณสมบัติ ความหมาย
ประเภทของจอแสดงผล ถ้าจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ติดกันเป็นเวลานาน ๆ 4-8 ช.ม. โดยมีเวลา
หยุดพักสายตาไม่มาก แนะนำให้เราซื้อจอ CRT แบบ Flat Trinitron
หรือจอ LCD เพราะจะถนอมสายตมากกว่า แต่ถ้าเราไม่มีงบพอ หรือมี
ช่วงเวลาพักสายตาอยู่บ้าง ก็ใช้จอแบบ CRT ก็เพียงพอแล้ว
รังสีจากจอแสดงผล การเลือกจอมอนิเตอร์แบบ CRT ควรเลือกแบบที่รังสีต่ำ (Low Radiation) เพราะผลเสียจากรังสีมีตั้งแต่ทำให้ปวดหัว, ปวดตา, เวียน
ศีรษะ, ทำให้สายตาสั้น และมีผลต่อแก้วตา ส่วนจอ LCD หรือจอ
Plasma Display จอประเภทนี้มีรังสีต่ำมาก
อัตราการแสดงภาพ
(Refresh Rate) เลือกรุ่นที่มี Refresh Rate สูงๆ สัก 75 Hz ขึ้นไป เนื่องตจากถ้า
Refresh Rate ต่ำ เราก็จะเห็นจอกระพริบอยู่ตลอด นั่นจะทำให้เราปวด
หัว ปวดตาได้เหมือนกัน สำหรับผู้ใช้จอ LCD จะไม่มีปัญหาเรื่องจอกระ
พริบ
ขนาดของจอภาพ ปัจจุบันมีมาตรฐานอยู่ 2 ขนาดที่ได้รับความนิยม คือ 15 นิ้ว และ 17 นิ้ว
ข้อดีของจอ 17 นิ้วก็คือเหมาะสำหรับงานออกแบบกราฟิก เพราะมีพื้นที่
มากกว่าแต่มีราคาสูงกว่าจอ 15 นิ้ว
ความละเอียดของจอภาพ จอภาพแต่ละรุ่นจะบอกความละเอียดสูงสุดที่ปรับได้ เช่น SXGA+
(1400X1050 pixels), UXGA (1600X1200 pixels) หากเราต้องการ
ความละเอียดในการแสดงผลสูง ๆ นอกจากนั้นยังมีหน้าจอแบบ
Widescreen ที่มีความกว้าวของหน้าจอมากกว่าปกติ เช่น ขนาด 19
นิ้ว ความละเอียด 1440X900 pixels ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้งานเกี่ยวกับ
การตกแต่งภาพกราฟิก หรือต้องการชมภาพยนตร์ทางคอมพิวเตอร์
10. การเลือกซื้อไดรว์ซีดี/ดีวีดี
นอกจากการเลือกประเภทของไดรว์ ที่ต้องการ
แล้วการอ่านหรือการเขียนแผ่นซีดี/ดีวีดี และคุณสมบัติ
ต่าง ๆ ของไดรว์ที่เราต้องนำมาพิจารณาประกอบมี
หลาย ๆ ตัวด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

คุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อไดรว์ซีดี/ดีวีดี
คุณสมบัติ ความหมาย
ความเร็ว เป็นตัวเลขที่ระบุไว้ เช่น 12X10X40X เลขตัวแรกเป็นความเร็วในการเขียน
แผ่น CD-R ตัวที่สองคือความเร็วในการเขียนแผ่น CD-RW และตัวเลขสุด
ท้ายคือความเร็วในการอ่านข้อมูล (โดย 1X ของไดรว์ซีดีมีความเร็วเท่ากับ
150 KB/s แต่ 1X ของไดรว์ดีวีดีจะเท่ากับ 1350 KB/s เมื่ออ่านแผ่นดีวีดี
และ 600 KB เมื่ออ่านแผ่นซีดีธรรมดา) ความเร็วเป็นปัจจัยหลักที่เราต้อง
คำนึงในการเลือกซื้อ
ขนาดบัฟเฟอร์ โดยมากขนาดของบัฟเฟอร์ จะเท่ากับครึ่งหนึ่งของความเร็วในการเขียนแผ่น
CD-R บัฟเฟอร์ที่มีขนาดใหญ่จะช่วยทำให้การอ่านและเขียนข้อมูลมีความ
เร็วยิ่งขึ้น
รูปแบบของไดรว์ ปัจจุบันซีดีไดรว์มีให้เลือกทั้งแบบเชื่อมต่อภายใน (Internal) และแบบเชื่อม
ต่อภายนอก (External) ข้อดีของไดรว์แบบติตดั้งภายนอกก็คือ สามารถติด
ตั้งและเคลื่อนย้ายได้ง่าย แต่ราคาแพงกว่าและต้องใช้เนื้อที่ในการวาง
11. การเลือกซื้อเครื่องพิมพ์
เครื่องพิมพ์มีอยู่หลาย ๆ ประเภท และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน การเลือกเครื่องพิมพ์ที่เหมาะสมก็เป็นอีกเรื่องที่
ให้ความสำคัญเช่นกันในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์
11.1 ซื้อเครื่องพิมพ์ให้เหมาะกับการใช้งาน
ก่อนเลือกซื้อเครื่องพิมพ์คงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราต้องการเครื่องพิมพ์มาทำงานแบบใดกันแน่ โดยสามารถแยกออกเป็นงานตามชนิดของเครือง
พิมพ์ ได้ดังนี้

เครื่องพิมพ์เลเซอร์ : ใช้พิมพ์งานเอกสาร มีความละเอียดมากที่สุด และความเร็วสูงสุด
ในบรรดาเครื่องพิมพ์ทั้งหลาย มี 2 แบบ คือแบบขาว/ดำ เหมาะสำหรับงานพิมพ์ในสำนัก
งาน และแบบสี สำหรับงานพิมพ์ขั้นสูง

เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต : ใช้พิมพ์งานสี มีความละเอียดน้อยกว่าเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์
ราคาเครื่องถูก แต่หมึกพิมพ์แพง เหมาะสำหรับงานสี อาร์ตเวิร์ก สิ่งพิมพ์ และรูปถ่าย
สติกเกอร์ หากจะใช้ในงานพิมพ์ขาว/ดำ ราคาหมึกต่อแผ่นจะสู้เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์
ไม่ได้

เครือ่งพิมพ์ดอแตเมทริกซ์ : มีความละเอียดต่ำ ราคาหมึกถูก แต่พิมพ์ช้า เสียงดัง ปัจจุบันถูกนำมาใช้แค่การพิมพ์กระดา่ษไขสำหรับงานโรเนียว หรือพิมพ์โดยซ้อนกระดาษ
คาร์บอนเท่านั้น
11.2 เลือกคุณภาพของงานพิมพ์
งานพิมพ์ที่ออกมา (โดยเฉพาะภาพสี) นั้นจะดีมากหรือน้อยมีผลมาจาก 3 ส่วนด้วยกันคือไฟล์ที่นำมาพิมพ์นั้นละเอียดแค่ไหน สีสวยแค่ไหน ต่อจากนั้นก็ขึ้นอยู่
กับความละเอียดของเครื่องพิมพ์ที่เราต้องนำมาพิจารณา (จำนวนพิกเซล) และสุดท้ายก็คือกระดาษที่นำมาใช้ในงานพิมพ์
11.3 ราคาหมึกพิมพ์
สังเกตดูหมึกพิมพ์ที่ใช้ร่วมกับเครื่องพิมพ์ที่กำลังจะซื้อก่อน ว่าราคาอยู่ที่เท่าไร พิมพ์ได้กี่แผ่น/หมึกพิมพื เพราะราคาเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่จะไม่สูงมาก แต่จะมี
ปัญหาที่เรื่องของหมึกพิมพ์นี่เอง หรือหมึกพิมพ์บางรุ่นก็หาซื้อยาก ต้องไปซื้อที่ศูนย์บริการเท่านั้น หรือเลือกแบบหมึกที่สามารถเติมได้ ซึ่งอาจช่วยประหยัดราคา
หมึก แต่ก็ต้องเสี่ยงเรื่องอายุการใช้งานของหัวพิมพ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น